เหตุการณ์ในอดีตประจำเดือน กุมภาพันธ์
รวมเรื่องราวที่เกิดในอดีตทุกเดือนเพื่อเป็นข้อมูลแก่ผู้สนใจศึกษา ค้นคว้า
โดย... พระมหาบุญโฮม ปริปุณฺณสีโล (ไชยฤทธิ์) วัดท่าไทร จ.สุราษฎร์ธานี

เกร็ดน่ารู้ในเดือนกุมภาพันธ์.-

          - ในประวัติศาสตร์ มีวันที่ ๓๐ กุมภาพันธ์ เกิดขึ้น ๓ ครั้ง
          - ในปีเดียวกัน วันในสัปดาห์ ของวันแรกในเดือนกุมภาพันธ์ ตรงกับเดือนมีนาคมและพฤศจิกายนในปีปกติสุรทิน ส่วนในปีอธิกสุรทินจะตรงกับเดือนสิงหาคม
          - ดอกไม้ประจำเดือนกุมภาพันธ์ คือ ดอกคาร์เนชัน
          - อัญมณีประจำเดือนเกิดของเดือนกุมภาพันธ์ คือ แอเมทิสต์
          - กุมภาพันธ์ เป็นเดือนที่ ๒ ของปี ตามปฏิทินเกรกอเรียน และเป็นเดือนที่มีจำนวนวัน ๒๘ หรือ ๒๙ วัน โดยปกติจะมี ๒๘ วัน ยกเว้นปีอธิกสุรทินที่มี ๒๙ วัน
          - ตามหลักโหราศาสตร์ เดือนกุมภาพันธ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ยกเข้าสู่ราศีกุมภ์ และสิ้นสุดเมื่อยกเข้าสู่ราศีมีน แต่ในทางดาราศาสตร์ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ดวงอาทิตย์อยู่ในกลุ่มดาวแพะทะเล และไปอยู่ในกลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำในปลายเดือน
          - วันมาฆบูชา - วันเพ็ญเดือน ๓ (เดือน ๔ ในปีที่มีอธิกมาส) ตามปฏิทินจันทรคติไทย มักตกอยู่ในเดือนนี้หรือเดือนมีนาคม
          - ตรุษจีน - ตรงกับวันแรกในเดือนแรกของปฏิทินจีน ซึ่งตรงกับวันเดือนดับครั้งแรกหลังจากเหมายัน อาจตรงกับเดือนมกราคมหรือกุมภาพันธ์

๑ กุมภาพันธ์ ๒๔๓๘

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตราพระราชบัญญัติโรงจำนำร.ศ.๑๑๔ ขึ้นเป็นครั้งแรกในเมืองไทย มีผลบังคับใช้ทั่วพระราชอาณาจักร วันที่ ๑ กรกฎาคม ร.ศ.๑๒๐

๒ กุมภาพันธ์ – วันนักประดิษฐ์ในประเทศไทย, วันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก

๓ กุมภาพันธ์ - วันทหารผ่านศึกในประเทศไทย

๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๖๒

วันที่ระลึกและวันสงเคราะห์ทหารผ่านศึก เป็นวันที่ระลึกทหารผ่านศึกสงครามโลก ครั้งที่ ๑ ที่ประเทศไทยได้ประกาศสงครามกับเยอรมันนี ออสเตรียและฮังการี เมื่อสงครามสงบลง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางพวงมาลาแก่ผู้พลีชีวิต นับตั้งแต่วันที่๓ กุมภาพันธ์ เป็นต้นมา

๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๕

ได้มีการลงนามในกิจที่เกี่ยวกับการยุทธร่วมกัน ระหว่างไทย กับญี่ปุ่นโดยผู้บัญชาการทหารสูงสุดของไทย กับแม่ทัพกองทัพที่ ๑๕ ของญี่ปุ่น ในฐานะผู้บัญชาการทหารบกญี่ปุ่นในไทย ร่วมกับผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารเรือญี่ปุ่น ในฐานะผู้แทนจักรพรรดินาวีญี่ปุ่น

๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๖๒

รัชกาลที่ ๕ เสด็จ ฯ ทรงเปิดเดินเครื่องจักรโรงกษาปณ์สิทธิการ

๔ กุมภาพันธ์ วันมะเร็งโลก

วันมะเร็งโลก โรคมะเร็ง (Cancer) เป็นสาเหตุการป่วยและการตายที่สำคัญของประชากรโลกจึงได้มีการประชุม world Summit againt Cancer ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็งมากกว่า ๒๐๐ คน เจ้าที่รัฐบาล ผู้ป่วยมะเร็ง และกลุ่มผู้สนับสนุนเข้าร่วมประชุมเพื่อระดมสรรพกำลังในการต่อต้านโรคนี้ เมื่อ ๓-๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๓ ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส จัดโดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็งนานาชาติ

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าวิถีชีวิตแบบตะวันตกและการที่ประชากรมีอายุมากขึ้นจะทำให้จำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งมากขึ้น คาดว่าจำนวนผู้ป่วยมะเร็งทั่วโลกจะมากถึงปีละ ๒๐ ล้านคน ใน พ.ศ. ๒๕๖๓ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา

แผนการต่อต้านโรคมะเร็งได้แก่ การจำกัดความรังเกียจโรคมะเร็ง การพยายามให้ประชากรเข้าถึงการรักษาและการป้องกัน รวมทั้งการพยายามคัดกรองหรือตรวจให้พบโรคมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ที่ประชุมยังได้กำหนดให้วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ เป็นวันมะเร็งโลก ( World Cancer Day ) เพื่อกระตุ้นให้เกิดความสนใจในเรื่องนี้

๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๐๔

เริ่มสร้างถนนเจริญกรุง ซึ่งเป็นถนนสายหนึ่งในกรุงเทพมหานคร เริ่มต้นตั้งแต่ถนนสนามไชย ไปจนจรดแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณถนนตก รวมความยาวทั้งสิ้น ๘.๕๗๕ กิโลเมตร ส่วนความกว้างไม่เท่ากันตลอดทั้งสายบางตอนกว้างถึง ๑๒.๗๕ เมตร บางตอนกว้างเพียง ๗ เมตร เป็นถนนเทคอนกรีต และลาดยางตลอดสาย

๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๒๘

ได้บรรจุการทำบัญชีเข้าในหลักสูตรการศึกษาของไทยเป็นครั้งแรก โดยประกาศกระแสพระบรมราชโองการพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ เป็นวิชาหนึ่งในแปดอย่างของประโยคสอง ซึ่งเป็นวิชาชั้นสูงสุดของ รร. หลวงในสมัยนั้น

๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๖

วันสถาปนากองเรือตรวจอ่าวซึ่งเป็นกองกำลังในสังกัดกองเรือยุทธการ กองทัพเรือ

๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๕

ประเทศอังกฤษได้ประกาศสงครามกับไทย โดยให้ถือว่ามีสถานะสงครามกับไทย ตั้งแต่ ๒๓ ม.ค. ๒๔๘๕ และได้โทรเลขถึงข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำประเทศคานาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแอฟริกาใต้ แสดงความหวังว่าประเทศในเครือจักรภพจะดำเนินการอย่างเดียวกัน

๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๐

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีเปิดเขื่อนเจ้าพระยาจังหวัดชัยนาท เขื่อนนี้เป็นเขื่อนทดน้ำขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีช่องระบายน้ำ๒๐ ช่อง กว้างช่องละ ๒๕.๕๐ เมตร ใช้ส่งน้ำตามโครงการชลประะทานเจ้าพระยา ในเนื้อที่ประมาณ๕,๕๕๐,๐๐๐ ไร่

๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๐๔

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงทำสัญญาทางพระราชไมตรีกับประเทศรัสเซีย

๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๕

สมเด็จพระนางเจ้าอะลิซาเบธ แห่งอังกฤษ เสด็จเยือนประเทศไทย นับเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนมายังเอเซียเป็นครั้งแรก

๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๗

ออกพระราชบัญญัติกองอาสารักษาดินแดนพ.ศ.๒๔๙๗ โดยให้อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย พระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลบังคับใช้ทั่วประเทศ ในวันนี้กำหนดให้เป็นวันอาสารักษาดินแดนเป็นประจำทุกปี

๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๔๖๐

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า ฯ โปรดเกล้า ฯ ให้เปลี่ยนชื่อ กองเสือน้ำ เป็นกรมราชนาวีเสือป่า สมาชิกของกรมราชนาวีเสือป่าได้แก่ ประชาชนทั่วไปที่มาสมัคร และมีนายทหารเรือชั้นสัญญาบัตร และชั้นประทวน

๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๕

รัฐบาลแอฟริกาได้ประกาศสถานะสงครามกับไทย โดยมีผลตั้งแต่ ๒๕ มกราคม ๒๔๘๕ แต่รัฐบาลไทยประกาศไม่รับรู้ประกาศดังกล่าว เนื่องจากไม่มีเหตุผลอย่างใดที่จะก่อให้เกิดสงครามระหว่างกัน

๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๑

กระทรวงกลาโหมได้จัดตั้งกรมการรักษาดินแดนขึ้นเป็นส่วนราชการ ขึ้นตรงต่อกองทัพบกให้ทำหน้าที่ฝึกนักศึกษาวิชาทหารมาจนถึงทุกวันนี้

๑๒ กุมภาพันธ์ - วันดาร์วิน

๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๔๔๖

ไทยเสียดินแดนที่อยู่ทางตะวันออกของเมืองน่าน เมืองจำปาศักดิ์ และเมืองมโนไพร เป็นพื้นที่ปีะมาณ ๖๒,๕๐๐ ตารางกิโลเมตร ให้แก่ฝรั่งเศส เพื่อขอให้ฝรั่งเศสคืนจันทบุรีให้ไทย ซึ่งฝรั่งเศสได้ยึดตั้งแต่เหจุการณ์ร.ศ.๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖)

๑๓ กุมภาพันธ์ วันรักนกเหงือก

๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๒๘

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จโดยเรือพระที่นั่งอรรคราชวรเดช ไปเยี่ยมเรือรบอังกฤษ คือ เรือออเคเซียส เรืออะกาเมนอน เรือวิจิแลนด์และเรือแดริง ซึ่งเดินทางมาจากฮ่องกง มาทอดสมออยู่ที่สันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยา

๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๔๖

ไทยไทยตกลงทำสัญญายก จังหวัดตราด เกาะต่าง ๆ ตลอดแนวไปจนถึง เกาะกง เกาะกูด ให้แก่ฝรั่งเศส

๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๓๖๙

เจ้าอนุวงศ์เป็นกบฎยกกองทัพจากเวียงจันทร์เข้ามายึดเมืองนครราชสีมาไว้ได้ และได้กวาดต้อนผู้คนไปเป็นชะเลยจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงส่งกองทัพออกไปปราบและจับตัวเจ้าอนุวงศ์ได้ ส่งตัวเข้ามากรุงเทพฯ เมื่อ ๒๑ ธันวาคม ๒๓๗๐

๑๔ กุมภาพันธ์ - วันวาเลนไทน์

วันวาเลนไทน์ วันวาเลนไทน์หรือวันแห่งความรักเริ่มต้นจากวันฉลองเพื่อระลึกถึงคริสเตียน ๒ คน ที่เสียสละเพื่อมนุษย์ ชื่อ วาเลนไทน์ (Valentine) แต่ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับวันนี้ไม่มีสิ่งไหนที่เกี่ยวพันถึงชีวิตของนักบุญเหล่านี้ ประเพณีนี้บางทีจะมาจากประเพณีโรมันโบราณที่เรียกว่า ลูเปอร์คาเลีย (Lupercalia) ชาวโรมันฉลองวันคูเปอร์คาเลียเป็นประเพณีแห่งความรักของหนุ่มสาว

กิจกรรม แสดงความรัก ส่งบัตรอวยพร มอบดอกกุหลาบ ฯลฯ อาจจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพเกี่ยวกับการรักนวลสงวนตัวของหญิง รณรงค์เรื่องการมีเพสสัมพันธ์ที่ปลอดภัย การใช้ถุงยางอนามัย เป็นต้น หลายประเทศกำหนดให้วันนี้เป็นวันถุงยางอนามัยแห่งชาติ เพื่อรณรงค์ป้องกันโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศ อื่น ๆ

๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๒๗

วันจัดตั้งโรงเรียนอัสสัมชัญบางรัก โดยมีบาทหลวงกลอมเบต์ ชางฝรั่งเศส อธิการแห่งโบสถ์อัสสัมชัญ รับเฉพาะนักเรียนชายล้วน

๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๖

ประกอบพระราชพิธีเปิดสะพานจุลจอมเกล้า ซึ่งเป็นสะพานข้ามแม่น้ำตาปี

๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๖

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนิน ทรงประกอบพิธีเปิดอนุสาวรีย์ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่จังหวัดลพบุรี

๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๐๕

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ทรงมีพระราชสาส์น ถึงสมเด็จพระราชาธิบดีเยอรมัน มีใจความว่า ขอเจริญทางพระราชไมตรีมายัง สมเด็จพระเจ้ากรุงปรุสเซีย และเรื่องการทำสัญญาทางพระราชไมตรีและทางค้าขาย

๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๐๙

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชทานเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๖๒

เปิดการไปรษณีย์อากาศขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ระหว่างกรุงเทพ-จันทบุรี

๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๘

ประกาศใช้เครื่องแบบทหารเรือฉบับแรก

๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๓๗๕

อเมริกันส่งทูตการค้าคนแรก คือ นายเอ็ดมันต์ โรเบิร์ต เข้ามาประเทศไทย ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และในสมัยประธานาธิบดี ยอร์ชวอชิงตัน ของสหรัฐอเมริกา

๒๐ กุมภาพันธ์ – วันทนายความในประเทศไทย (วันทนายความ)

๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๐

เปิดถนนมิตรภาพ จากสระบุรีไปนครราชสีมา จากความช่วยเหลือของสหรัฐอเมริกา

๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๒

มีพิธีเปิดอนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหัก ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่หน้าศาลากลางจังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อเป็นเกียรติ และระลึกถึงความกล้าหาญของท่าน ที่ได้ต่อสู้กับโปสุพลา แม่ทัพพม่า จนดาบหักคามือ

๒๑ กุมภาพันธ์ วันภาษาแม่สากล

๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๓๒๙

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ตีค่ายพม่าที่ท่าดินแดง กรมพระราชวังบวรฯ ตีที่สามสบ รบอยู่ ๓ วัน ไทยได้รับชัยชนะ

๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๔๑๐

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้า ฯ ให้จำลองปราสาทนครวัด ไว้ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เพื่อให้คนทั้งหลายเห็นว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์

๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๔๓๕

ไทยเริมเดินรถรางเป็นครั้งแรก ต่อมาได้กีดขวางการจราจร จึงได้เลิกเมื่อพ.ศ. ๒๕๑๑

๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๔๕๕

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้า ฯ ให้เลิกใช้ ร.ศ.(รัตนโกสินทรศก) ซึ่งเริ่มใช้ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและให้ใช้ พ.ศ. (พุทธศักราช) แทน

๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๒

กองทัพเรือ จัดตั้งกรมนาวิกโยธิน โดยรวมกองพันนาวิกโยธิ ที่มีอยู่แล้ว ๒ กองพันเข้าด้วยกัน

๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๕๓

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาต

ให้ใช้พระราชวังเดิม เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ จากนั้นเป็นต้นมา พระราชวังเดิมก็เป็นสถานที่ทำการของ

ทหารเรือจนถึงปัจจุบัน(พระราชวังเดิมเป็นพระราชวังหลวง ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีปากคลองบางหลวงหรือคลองบางกอกใหญ่ และวัดอรุณราชวราราม ขนาบอยู่สองข้าง ตรงกลางมีป้อมวิชัยประสิทธิ์ตั้งอยู่)

๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๖๕

กองทัพเรือได้ออกข้อบังคับทหารเรือ กำหนดให้ใช้คำว่า ร.น. (ราชนาวี) ต่อท้ายนามของนายทหารสัญญาบัตร

๒๔ กุมภาพันธ์ วันสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย, วันศิลปินแห่งชาติ, วันปลอดควันพิษจากไฟป่า

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒)

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอิศรสุนทรฯ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย (พ.ศ. ๒๓๑๐-พ.ศ. ๒๓๖๗ ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๕๒ - พ.ศ. ๒๓๖๗) รัชกาลที่ ๒ แห่งราชจักรีวงศ์

พระนามที่ปรากฏ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยนั้น พึ่งถวายพระนามเรียกเมื่อสมัยรัชกาลที่ ๓ เนื่องจากพระปรมาภิไธยที่จารึกในพระสุพรรณบัฏ ของรัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒ จะเหมือนกันทุกตัวอักษร เพราะในเวลานั้นยังไม่มีธรรมเนียมที่จะต้องมีพระปรมาภิไธยแตกต่างกันในแต่ละพระองค์ จนถึงรัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา จึงทรงได้พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บัญญัติไว้ว่า ในแต่ละรัชกาลจะต้องมีพระปรมาภิไธยแตกต่างกัน เว้นแต่สร้อยพระปรมาภิไธยเท่านั้นที่อณุโลมให้ซ้ำกันได้บ้าง ส่วนคำนำหน้าพระนาม รัชกาลที่ ๔ ก็ได้ทรงบัญญัติให้ใช้คำว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทร์ หรือ ปรเมนทร์ เป็นคำนำทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลำดับรัชกาลว่าจะเป็นเลขคี่หรือเลขคู่

เดิมทีเดียวคนสมัยก่อนมักเรียกรัชกาลที่ ๑ ว่า แผ่นดินต้น และเรียกรัชกาลที่ ๒ ว่า แผ่นดินกลาง เหตุเพราะพระนามในพระสุพรรณบัฎเหมือนกัน รัชกาลที่ ๓ จึงไม่โปรดให้ใช้ตามอย่างรัชกาลที่ ๑ และ ๒ เพราะเหตุเช่นนั้นจะทำให้ประชาชนสมัยนั้นเรียกว่าแผ่นดินปลาย ซึ่งดูไม่เป็นมงคล

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงมีพระนามเดิมว่า ฉิม (สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร) พระราชสมภพเมื่อ วันพุธ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๔ ปีกุน เวลาเช้า ๕ ยาม ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๓๑๐ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๔ ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เสวยราชสมบัติ เมื่อปีมะเส็ง ปีพ.ศ. ๒๓๕๒ - ๒๓๖๗ ขณะมีพระชนมายุได้ ๔๒ พรรษา รวมสิริดำรงราชสมบัติ ๑๖ ปี พระราชโอรส-ราชธิดา รวมทั้งสิ้น ๗๓ พระองค์

พระนามเต็ม

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีพระนามเต็มว่า พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิราชาธิบดินทร์ ธรณินทราธิราช รัตนากาศภาสกรวงศ์ องค์ปรมาธิเบศ ตรีภูวเนตรวรนายก ดิลกรัตนราชชาติอาชาวศรัย สมุทัยดโรมนต์ สากลจักรวาฬาธิเบนทร สุริเยนทราธิบดินทร์ หริหรินทรา ธาดาธิบดี ศรีวิบูลยคุณอกนิษฐ ฤทธิราเมศวรมหันต บรมธรรมิกราชาธิราชเดโชชัย พรหมเทพาดิเทพนฤบดินทร์ ภูมิทรปรมาธิเบศ โลกเชษฐวิสุทธิ รัตนมกุฎประกาศ คตามหาพุทธางกูรบรมบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัว

พระปรมาภิไธยที่จารึกในพระสุพรรณบัฏ ของรัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒ เหมือนกันทุกตัวอักษร เนื่องจากในเวลานั้น ยังไม่มีธรรมเนียม ที่จะต้องมีพระปรมาภิไธยแตกต่างกัน ในแต่ละพระองค์ จนในรัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บัญญัติไว้ว่า ในแต่ละรัชกาลจะต้องมีพระปรมาภิไธยแตกต่างกัน เว้นแต่สร้อยพระปรมาภิไธยเท่านั้นที่อณุโลมให้ซ้ำกันได้บ้าง ส่วนคำนำหน้าพระนาม รัชกาลที่ ๔ ก็ได้ทรงบัญญัติให้ใช้คำว่า "พระบาทสมเด็จพระปรมินทร์ หรือปรเมนทร์" เป็นคำนำทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลำดับรัชกาลว่าจะเป็นเลขคี่หรือเลขคู่ เดิมทีเดียวคนสมัยก่อนมักเรียกรัชกาลที่ ๑ ว่าแผ่นดินต้น และเรียกรัชกาลที่ ๒ ว่าแผ่นดินกลาง เหตุเพราะพระนามในพระสุพรรณบัฎเหมือนกัน รัชกาลที่ ๓ จึงไม่โปรดให้ใช้ตามอย่างรัชกาลที่ ๑ และ ๒ เพราะเหตุเช่นนั้น จะทำให้ประชาชนสมัยนั้นเรียกว่าแผ่นดินปลาย ซึ่งดูไม่เป็นมงคล

พระปรีชาสามารถ

พระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระปรีชาสามารถในศิลปกรรมด้านต่าง ๆ หลายสาขา ดังจะขอยกตัวอย่างต่อไปนี้

ด้านกวีนิพนธ์

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้รับการยกย่องว่า เป็นยุคทองของวรรณคดีสมัยหนึ่งเลยทีเดียว ด้านกาพย์กลอนเจริญสูงสุด จนมีคำกล่าวว่า "ในรัชกาลที่ ๒ นั้น ใครเป็นกวีก็เป็นคนโปรด" กวีที่มีชื่อเสียงนอกจากพระองค์เองแล้ว ยังมีกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (รัชกาลที่ ๓) สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส สุนทรภู่ พระยาตรัง และนายนรินทรธิเบศร์ (อิน) เป็นต้น พระองค์มีพระราชนิพนธ์ที่เป็นบทกลอนมากมาย ทรงเป็นยอดกวีด้านการแต่งบทละครทั้งละครในและละครนอก มีหลายเรื่องที่มีอยู่เดิมและทรงนำมาแต่งใหม่เพื่อให้ใช้ในการแสดงได้ เช่น รามเกียรติ์ อุณรุท และอิเหนา โดยเรื่องอิเหนานี้ เรื่องเดิมมีความยาวมาก ได้ทรงพระราชนิพนธ์ใหม่ตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นเรื่องยาวที่สุดของพระองค์ วรรณคดีสโมสรในรัชกาลที่ ๖ ได้ยกย่องให้เป็นยอดบทละครรำที่แต่งดี ยอดเยี่ยมทั้งเนื้อความ ทำนองกลอนและกระบวนการเล่นทั้งร้องและรำ นอกจากนี้ยังมีละครนอกอื่น ๆ เช่น ไกรทอง สังข์ทอง ไชยเชษฐ์ คาวี มณีพิชัย ได้ทรงเลือกเอาของเก่ามาทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นใหม่บางตอน และยังทรงพระราชนิพนธ์บทพากย์โขนอีกหลายชุด เช่น ชุดนางลอย ชุดนาคบาศ และชุดพรหมาสตร์ ซึ่งล้วนมีความไพเราะซาบซึ้งเป็นอมตะใช้แสดงมาจนทุกวันนี้

ด้านปฏิมากรรม /ประติมากรรม

นอกจากจะทรงส่งเสริมงานช่างด้านหล่อพระพุทธรูปแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยยังได้ทรงพระราชอุตสาหะปั้นหุ่นพระพักตร์ของพระพุทธธรรมิศรราชโลกธาตุดิลก พระประธานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม อันเป็นพระพุทธรูปที่สำคัญยิ่งองค์หนึ่งไทยด้วยพระองค์เอง ซึ่งลักษณะและทรวดทรงของพระพุทธรูปองค์นี้เป็นแบบอย่างที่ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นใหม่ในรัชกาลที่ ๒ นี้เอง ส่วนด้านการช่างฝีมือและการแกะสลักลวดลายในรัชกาลของพระองค์ได้มีความเจริญก้าวหน้าไปอย่างมาก และพระองค์เองก็ทรงเป็นช่างทั้งการปั้นและการแกะสลักที่เชี่ยวชาญยิ่งพระองค์หนึ่งอย่างยากที่จะหาผู้ใดทัดเทียมได้ นอกจากฝีพระหัตถ์ในการปั้นพระพักตร์พระพุทธธรรมิศรราชโลกธาตุดิลกแล้ว ยังทรงแกะสลักบานประตูพระวิหารพระศรีศากยมุนี วัดสุทัศนเทพวราราม คู่หน้าด้วยพระองค์เองร่วมกับกรมหมื่นจิตรภักดี และทรงแกะหน้าหุ่นหน้าพระใหญ่และพระน้อยที่ทำจากไม้รักคู่หนึ่งที่เรียกว่าพระยารักใหญ่ และพระยารักน้อยไว้ด้วย

ด้านดนตรี

กล่าวได้ว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงมีพระปรีชาสามารถในด้านนี้ไม่น้อยไปกว่าด้านละครและฟ้อนรำ เครื่องดนตรีที่ทรงถนัดและโปรดปรานคือ ซอสามสาย ซึ่งซอคู่พระหัตถ์ที่สำคัญได้พระราชทานนามว่า "ซอสายฟ้าฟาด" และเพลงพระราชนิพนธ์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีคือ "เพลงบุหลันลอยเลื่อน" หรือ "บุหลัน (เลื่อน) ลอยฟ้า" แต่ต่อมามักจะเรียกว่า "เพลงทรงพระสุบิน" เพราะเพลงมีนี้มีกำเนิดมาจากพระสุบิน (ฝัน) ของพระองค์เอง โดยเล่ากันว่าคืนหนึ่งหลังจากได้ทรงซอสามสายจนดึก ก็เสด็จเข้าที่บรรทมแล้วทรงพระสุบินว่า ได้เสด็จไปยังดินแดนที่สวยงามดุจสวรรค์ ณ ที่นั่น มีพระจันทร์อันกระจ่างได้ลอยมาใกล้พระองค์ พร้อมกับมีเสียงทิพยดนตรีอันไพเราะยิ่ง ประทับแน่นในพระราชหฤทัย ครั้นทรงตื่นบรรทมก็ยังทรงจดจำเพลงนั้นได้ จึงได้เรียกพนักงานดนตรีมาต่อเพลงนั้นไว้ และทรงอนุญาตให้นำออกเผยแพร่ได้ เพลงนี้จึงเป็นที่แพร่หลายและรู้จักกันกว้างขวางมาจนทุกวันนี้

พระภรรยา พระราชโอรส พระราชธิดา.-

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงมี พระราชโอรส - พระราชธิดา รวมทั้งสิ้น ๗๓ พระองค์ โดยประสูติเมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ๔๗ พระองค์ ประสูติเมื่อดำรงพระอิสรยยศเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ๔ พระองค์ และประสูติภายหลังบรมราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์แล้ว ๒๒ พระองค์

ลำดับประวัติศาสตร์เหตุการณ์สำคัญ

โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมจัดพิธีอุปราชาภิเษก ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุ้ย ในรัชกาลที่ ๑ ขึ้นเป็น สมเด็จพระบวรราชเจ้า มหาเสนานุรักษ์ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล พระมหาอุปราชเจ้า

สถาปนาพระราชชนนีขึ้นเป็น กรมสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ พระราชชนนีในรัชกาล ๒

กรุงสยามมีการเปลี่ยนธงประจำชาติ จากธงแดง เป็นธงช้าง มีลักษณะพื้นสีแดง ตรงกลางเป็นวงกลมสีขาว มีรูปช้างเผือกสีขาวภายในวงกลม แต่เมื่อจะใช้ชักเป็นธงบนเรือสินค้า ให้งดวงกลมออกเสีย เหลือแต่รูปช้างเผือกสีขาวเท่านั้น ดังนั้น บันทึกที่พบในต่างประเทศจึงระบุว่ากรุงสยาม ใช้ธงประจำชาติเป็นรูปช้างเผือกสีขาวบนพื้นแดง

พ.ศ. ๒๓๑๐ (๒๔ กุมภาพันธ์) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยพระราชสมภพ ณ ตำบลอัมพวา เมืองสมุทรสงคราม พระนามเดิม ฉิม

พ.ศ. ๒๓๒๕

-พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์

-ทรงได้รับการสถาปนาพระยศเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร

พ.ศ. ๒๓๕๒

-พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จสวรรคต

-พระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนางกราบบังคมทูลอัญเชิญพระองค์ขึ้นครองราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ ๒ แห่งพระราชวงศ์จักรี เฉลิมพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

-เจ้าฟ้ากรมขุนกษัตรานุชิตกับพวก คิดกบฏ โปรดเกล้าฯ ให้กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ชำระความ

สงครามกับพม่าที่เมืองถลาง

พ.ศ. ๒๓๕๓

-โปรดเกล้าฯ ให้ส่งคณะทูตอัญเชิญพระราชสาส์นไปถวายจักรพรรดิเกียเข้งแห่งอาณาจักรจีน

-ราชทูตญวนเข้ามาถวายราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการ พร้อมทั้งทูลขอเมืองบันทายมาศคืน ซึ่งพระองค์ก็พระราชทานคืนให้

พ.ศ. ๒๓๕๔

-โปรดเกล้าฯ ให้เจ้านายไปกำกับราชการตามกระทรวงต่าง ๆ

-โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานออก "เดินสวนเดินนา"

-ออกพระราชกำหนดห้ามสูบและซื้อขายฝิ่น

-จัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

-เกิดอหิวาตกโรคครั้งใหญ่

-โปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธี "อาพาธพินาศ"

-โปรดเกล้าฯ ให้กองทัพไทย ไประงับความวุ่นวายในกัมพูชา

-อิน-จัน แฝดสยามคู่แรกของโลกถือกำเนิดขึ้น

พ.ศ. ๒๓๕๕

-โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระแก้วผลึก (พระพุทธบุษยรัตน์) จากเมืองจำปาศักดิ์มายังกรุงเทพฯ

พ.ศ. ๒๓๕๖

-พม่าให้ชาวกรุงเก่านำสาส์นจากเจ้าเมืองเมาะตะมะมาขอทำไมตรีกับสยาม

-พระองค์เจ้าชายทับ (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) ได้รับการสถาปนาเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์

พ.ศ. ๒๓๕๗

-โปรดเกล้าฯ ให้ส่งคณะสมณทูตเดินทางไปศรีลังกา

-โปรดเกล้าฯ ให้สร้าง นครเขื่อนขันธ์ ขึ้นที่บริเวณพระประแดง เพื่อสำหรับรับข้าศึกที่มาทางทะเล

พ.ศ. ๒๓๕๙ โปรดเกล้าฯ ให้จัดการปรับปรุงการสอบปริยัติธรรมใหม่ กำหนดขึ้นเป็น ๙ ประโยค

พ.ศ. ๒๓๖๐ ทรงฟื้นฟูประเพณี วันวิสาขบูชา

พ.ศ. ๒๓๖๑ -ขยายเขตพระบรมมหาราชวังจนจรดวัดพระเชตุพน โดยสร้างถนนท้ายวังคั่น

-โปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชการออกแบบและสร้างสวนขวาขึ้นในพระบรมมหาราชวัง

-คณะสมณทูตที่พระองค์ทรงส่งไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนาที่ ประเทศลังกาเดินทางกลับ

-เจ้าเมืองมาเก๊า ส่งทูตเข้ามาถวายพระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการเพื่อเจริญทางพระราชไมตรี

พ.ศ. ๒๓๖๒ หมอจัสลิส มิชชันนารีประจำย่างกุ้ง หล่อตัวพิมพ์อักษรไทยเป็นครั้งแรก

พ.ศ. ๒๓๖๓ -ฉลองวัดอรุณราชวราราม

-สังคายนาบทสวดมนต์ภาษาไทยครั้งแรก ในประเทศไทย

-โปรตุเกสตั้งสถานกงสุลในกรุงเทพฯ นับเป็นสถานกงสุลต่างชาติแห่งแรกของสยาม

พ.ศ. ๒๓๖๕ -เซอร์จอห์น ครอฟอร์ด เป็นทูตเข้ามาเจริญพระราชไมตรี

พ.ศ. ๒๓๖๗ -เสด็จสวรรคต

๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๓๑๐

วันพระราชสมภพ ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ พระนามเดิมฉิม ทรงเป็นพระราชโอรสองค์โต ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และกรมสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ พระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถทั้งด้านการรบ และด้านศิลปะเป็นอันมาก ได้ทรงติดตามพระชนกนาถครั้งยังดำรงพระยศเป็น สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกไปทำสงครามด้วยทุกครั้ง ได้ทรงพระราชนิพนธ์วรรณคดีเรื่องต่าง ๆ ไว้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเรื่องอิเหนา ซึ่งเป็นวรรณกรรมชั้นเลิศ ได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสร ว่าเป็นบทละครในยอดเยี่ยม งานด้านการช่างประเภท แกะสลักด้วยฝีพระหัตถ์ อันเป็นผลงานของพระองค์ ซึ่งยังมีปรากฎอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้ได้แก่ ภาพแกะสลักบานประตูโบสถ์วัดสุทัศน์เทพวราราม

๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๐๙

กองทัพบกได้มีคำสั่งจัดตั้งศูนย์สงครามพิเศษ ขึ้นที่ค่ายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อำเภอเมืองจังหวัดลพบุรี นับเป็นการจัดหน่วยรบพิเศษที่สมบูรณ์แบบ

๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓

บก.ทหารสูงสุดได้อนุมัติการจัดตั้ง หน่วยปฏิบัติการตามลำน้ำโขง (นปข.) เพื่อป้องกันและปราบปรามผู้ก่อการร้ายในพื้นที่รับผิดชอบตามลำน้ำโขง ตั้งแต่อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ไปถึงอำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี รวมระยะทาง๘๕๐ กม.

๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๒

กองทัพอากาศยุบเลิกกรมการบินพลเรือน แล้วแปรสภาพเป็นรัฐวิสาหกิจใช้ชื่อว่า การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย

๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๖๘ พระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

๒๕ กุมภาพันธ์ - วันวิทยุกระจายเสียงแห่งชาติ

วันวิทยุกระจายเสียงแห่งชาติ ตรงกับวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ของทุกปี ทั้งนี้วิทยุกระจายเสียง เป็นสื่อมวลชลที่แพร่หลาย และมีอิทธิพลต่อสังคมอย่างสูงมาเป็นเวลากว่า ๑๐๐ ปีมาแล้ว ประเทศไทยตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียงขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ ๗ และมีพัฒนาการแพร่หลายเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน สถานีวิทยุในประเทศไทยปัจจุบันมีเป็นจำนวนมากหลายร้อยสถานีกระจายอยู่ทั่วประเทศ

คำว่า "วิทยุ" นั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบัญญัติขึ้นเพื่อใช้แทนคำว่า เรดิโอ (Radio) ในภาษาอังกฤษ ซึ่งหมายถึงการรับและส่งข่าวด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือคลื่นวิทยุโดยไม่ต้องใช้สายเชื่อมต่อกันระหว่างเครื่องรับกับเครื่องส่ง หากส่งข่าวสารเป็นรหัสสัญญาณไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว แทนภาษาพูด ก็เรียกว่าวิทยุโทรเลข (Radio Telegraph) คือการส่งโทรเลขโดยใช้คลื่นวิทยุนั่นเอง หากส่งให้ออกเป็นเสียงพูดหรือเสียงอื่นได้โดยตรงเรียกว่า วิทยุกระจายเสียง (Radio Broadcasting) เช่น การส่งกระจายเสียงของสถานีวิทยุกระจายเสียงต่าง ๆ ที่รับฟังกันอยู่ทั่วไป

วิทยุโทรเลข ถูกนำเข้ามาทดลองใช้ในประเทศไทยครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๗ ตรงกับปลาย รัชกาลที่ ๕ โดยห้างบีกริม ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทวิทยุโทรเลขเทเลฟุงเกน ประเทศเยอรมัน ทำการทดลอง ส่งระหว่างกรุงเทพมหานคร กับเกาะสีชัง

พ.ศ. ๒๔๕๖ สมัยรัชกาลที่ ๖ กระทรวงทหารเรือ จัดตั้งสถานีวิทยุโทรเลขขึ้นที่ตำบลศาลาแดงในพระนครแห่งหนึ่ง และที่จังหวัดสงขลาอีกแห่งหนึ่ง ต่อมา พ.ศ. ๒๔๖๙ ได้โอนกิจการสถานีวิทยุทั้งสองแห่งให้กรมไปรษณีโทรเลข และต่อมางานวิทยุโทรเลขได้ขยายไปสู่จังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ

วิทยุกระจายเสียง เกิดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ โดยการเริ่มทดลองส่งของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าบูรฉัตรไชยากร กรมพระยากำแพงเพชรอัครโยธิน เสนาบดีกระทรวงพานิชย์ และการคมนาคมในสมัยรัชกาลที่ ๗ ตั้งสถานี ๔ พีเจ (๔PJ)

ต่อมาได้มีการประกอบเครื่องส่งคลื่นขนาดกลาง ๑ กิโลวัตต์ ขึ้น ทำการทดลองที่ตำบลศาลาแดงใช้ชื่อสถานีว่า "๑๑ พีเจ" ซึ่งการใช้ชื่อสถานีว่า "พีเจ" ในยุคนั้น ย่อมาจากคำว่า "บุรฉัตรไชยากร" อันเป็นพระนามเดิมของพระองค์ท่านนั่นเอง

หลังจากนั้นเมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๗๓ ซึ่งตรงกับวันพระราชพิธีฉัตรมงคล ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พลเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ทรงเปิดการส่งวิทยุเป็นปฐมฤกษ์ โดยใช้ชื่อสถานีว่า “สถานีวิทยุกรุงเทพฯ ที่พญาไท” ตั้งอยู่ที่วังพญาไท มีกำลังส่ง ๒.๕ กิโลวัตต์ พิธีเปิดสถานีกระทำโดยอัญเชิญกระแสพระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จากพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย เข้าไมโครโฟนถ่ายทอดไปตามสาย เข้าเครื่องส่งแล้วกระจายเสียงสู่พสกนิกร นับเป็นครั้งแรกที่มีการถ่ายทอดเสียงทางวิทยุในประเทศไทย

พ.ศ. ๒๔๗๕ เกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองคณะราษฎร์ได้ใช้วิทยุกระจายเสียงเผยแพร่ข่าวให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่อง

พ.ศ. ๒๔๘๒ รัฐบาลตั้งสำนักงานโฆษณาการขึ้นและโอนสถานีวิทยุต่าง ๆ ให้อยู่ในการควบคุมดูแลของสำนักงานโฆษณาการ (ภายหลังเปลี่ยนกรมโฆษณาการ และเป็นกรมประชาสัมพันธ์ในปัจจุบัน) เรียกสถานีวิทยุใหม่ว่า "สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย" หลังจากนั้นวิทยุกระจายเสียงได้พัฒนาแพร่หลายมาเป็นลำดับ

ความเป็นมาของสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย

- ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๓ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยกำเนิดอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อมีการถ่ายทอดกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระราชทางแก่ปวงชนชาวไทย เนื่องในวันฉัตรมงคลมีใจความตอนหนึ่งว่า "การวิทยุกระจายเสียงที่ได้ริเริ่มจัดตั้งขึ้น และทำการทดลองตลอดมานั้น ก็ด้วยความมุ่งหมายที่จะส่งเสริมการศึกษา การค้าขาย และการบันเทิงแก่พ่อค้าประชาชน"

- ๑ เมษายน ๒๔๘๒ รัฐบาลโอนกิจการวิทยุกระจายเสียงจากกรมไปรษณีย์โทรเลข มาขึ้นกับสำนักงานโฆษณาการ

- ๑ มกราคม ๒๔๘๔ กรมโฆษณาการ (เปลี่ยนชื่อมาจากสำนักงานโฆษณาการ) ได้เปลี่ยนชื่อเรียกสถานีวิทยุจากเดิม "สถานีวิทยุกรุงเทพฯ"หรือ Radio Bangkok เป็นสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยหรือ Radio Thailand ย้ายที่ตั้งจากวังพญาไทไปรวมกับสถานีวิทยุทดลองของกรมไปรษณีย์โทรเลขที่ศาลาแดง ส่งกระจายเสียงคลื่นสั้น ๔๙ เมตรควบคู่กับคลื่นยาว ๓๖๓ เมตร เพิ่มกำลังส่งเป็น ๑๐,๐๐๐ วัตต์

- ๑๑ กันยายน ๒๔๙๔ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ออกอากาศด้วยกำลังส่ง ๑๐กิโลวัตต์ตั้งเครื่องส่งอยู่ที่ซอยอารี ถนนพหลโยธิน ห้องส่งอยู่กรมประชาสัมพันธ์ ถนนราชดำเนินกลาง กรุงเทพมหานคร

- ๒๔ มิถุนายน ๒๔๙๖ ออกอากาศภาคภาษาต่างประเทศด้วยเครื่องส่ง ๕๐ กิโลวัตต์ เครื่องส่งตั้งอยู่ที่ ซอยอารี ถนนพหลโยธินห้องส่งอยู่กรมประชาสัมพันธ์ ถนนราชดำเนินกลางกรุงเทพมหานคร

- ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ กรมประชาสัมพันธ์ ส่งกระจายเสียงระบบ เอฟ.เอ็ม. กำลังส่ง ๒๕๐วัตต์ใช้สำหรับถ่ายทอดรายการจากห้องส่งกรมประชาสัมพันธ์ไปที่เครื่องส่งซอยอารี แทนสายโทรศัพท์ นับว่าเป็นการส่งกระจายเสียงในระบบ เอฟ.เอ็ม. เป็นครั้งแรกในประเทศไทย

- ๖ ธันวาคม ๒๕๐๘ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ออกอากาศด้วยกำลังส่ง ๑๐๐ กิโลวัตต์ส่งคลื่นขนาดกลางและคลื่นยาวเครื่องส่งตั้งอยู่ที่ตำบลศาลายา อำเภอนครชัยศรีจังหวัดนครปฐม ส่วนห้องส่งยังอยู่ ณ กรมประชาสัมพันธ์

- ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๑๐ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ออกอากาศคลื่นสั้นไปต่างประเทศ ด้วยกำลังส่ง ๑๐๐ กิโลวัตต์ เท่ากับคลื่นยาวในประเทศ ตั้งเครื่องส่งอยู่ที่ตำบลคลองห้าอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานีและย้ายเครื่องส่งคลื่นสั้นเดิม ๕๐ กิโลวัตต์ จากซอยอารี ไปรวมอยู่ด้วยกัน

- ๓ พฤษภาคม ๒๕๒๕ เปิดสถานีเครื่องส่งวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ๑,๐๐๐ กิโลวัตต์ โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฏราชกุมาร เสด็จฯ เป็นองค์ประธาน ที่ ตำบลหนอง โรงอำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี

- ๓ พฤษภาคม ๒๕๒๙ เปิดคารใหม่ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ถนนวิภาวดีรังสิต โดยร.ต.ท.ชาญ มนูธรรม รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ย้ายจากอาคารกรมประชาสัมพันธ์ไปอยู่ที่อาคารถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๒๙ ออกอากาศในขณะนั้นตั้งเวลา๐๕.๓๐ - ๒๓.๐๐ น. รวม ๑๗ ชั่วโมง ๓๐ นาที ต่อวัน(เฉพาะภาคในประเทศ)โดยแบ่งออกเป็นสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ภาคปกติ, สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย รายการ ๒ เพื่อการศึกษา, สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย รายการ ๓ เสนอเพลงและข่าวเพื่อสาธารณภัยจราจร และบริการสาธารณะ, สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ภาคภาษาต่างประเทศ

 

คุณค่าของวิทยุกระจายเสียง

คุณลักษณะทั่วไป

๑. สามารถส่งคลื่นกระจายเสียงไปได้ไกลทุกหนทุกแห่ง ผู้รับจึงสะดวกสามารถจะเปิดเครื่องรับฟังได้ทุกสถานี คลื่นวิทยุที่ใช้สำหรับส่งวิทยุกระจายเสียงมีหลายขนาดคลื่น เช่น LW SW MW หรือ AM FM ซึ่งคลื่นแต่ละอย่างมีคุณสมบัติต่างกัน สามารถเลือกใช้ตามความเหมาะสมกับระยะทางหรือพื้นที่ของกลุ่มเป้าหมาย เช่น คลื่นสั้น (SW) สามารถส่งไปได้ไกลมากเป็นพิเศษแม้จะอยู่คนละซีกโลกก็สามารถรับได้ ไม่จำกัดทั้งระยะทางและสิ่งกีดขวาง ผลดีในแง่การสื่อสารก็คือ ทำให้สามารถถ่ายทอดความรู้ข่าวสารไปสู่ผู้รับได้พร้อมกันจำนวนมหาศาล

๒. ส่งข่าวสารได้รวดเร็วกว่าสื่ออื่นทุกประเภท เนื่องจากงานจัดรายการวิทยุสามารถทำได้โดยง่าย ใช้คนเพียงคนเดียวก็สามารถพูดหรือเปิดเทปออกอากาศได้ทันที ซึ่งสถานีวิทยุต่าง ๆ มีความพร้อมอยู่ตลอดเวลา วิทยุจึงมีความเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการเสนอรายการประเภทข่าว ซึ่งต้องการความรวดเร็วในการนำเสนอ

๓. มีกำลังชักชวนจูงใจสูง แม้ว่าวิทยุเป็นสื่อที่มีเพียงเสียงอย่างเดียวแต่ด้วยอำนาจของเสียง คำพูด เทคนิคของวิทยุ และความสามารถของผู้จัดรายการ ซึ่งส่วนใหญ่มีทักษะในการพูดเป็นอย่างดี สามารถพูดให้ผู้ฟังเข้าใจได้ชัดเจน พูดให้ผู้ฟังรู้สึกเหมือนได้เห็นภาพ และคำพูดมีอิทธิพลในการชักจูงใจสูง เป็นสื่อที่ใช้ได้ดีกับรายการหลายประเภท เช่น ข่าว ละคร การพูดบรรยาย ดนตรี เพลง การโฆษณาสินค้า ฯลฯ

๔. ความสะดวกและง่ายต่อการรับ อาจใช้เครื่องรับวิทยุขนาดเล็ก รับสัญญาณวิทยุในสถานที่ใด ๆ ก็ได้ เช่น ในบ้าน รถยนต์ สำนักงาน รับฟังได้ตลอดเวลาโดยไม่จำเป็นต้องมีความตั้งใจเป็นพิเศษ อาจฟังวิทยุไปพร้อมกับการทำงานอื่น ๆ วิทยุจึงเป็นสิ่งที่ใช้ได้ทุกเวลาทุกโอกาส

๕. เป็นสื่อมวลชนที่ผู้รับเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด ไม่ว่าจะใช้วิทยุเพื่อรับรู้ข่าวสารหรือเพื่อความบันเทิงก็ตาม ผู้รับลงทุนครั้งแรกสำหรับเครื่องรับวิทยุเพียงครั้งเดียว ก็สามารถรับฟังสิ่งต่าง ๆ ได้ตลอดไป มีรายการของสถานีวิทยุต่าง ๆ ให้รับฟังเป็นจำนวนมาก ผู้นิยมฟังเพลงทางวิทยุ ก็ไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายสำหรับการซื้อเทปหรือแผ่นเสียงต่าง ๆ เพราะวิทยุกระจายเสียงมีรายการประเภทนี้มากเป็นพิเศษแทบทุกสถานี

๖. ปริมาณและคุณภาพของวิทยุกระจายเสียง ด้านปริมาณมีสถานีวิทยุต่าง ๆ ออกอากาศอยู่เป็นจำนวนมาก เฉพาะสถานีวิทยุในประเทศไ ทย รวมทุกภูมิภาคแล้วมีจำนวนหลายร้อยสถานี แต่ละภูมิภาคก็สามารถรับได้หลายสิบสถานี จึงเปิดโอกาสให้เลือกรับฟังได้อย่างกว้างขวาง ด้านคุณภาพปัจจุบันมีการส่งกระจายเสียงวิทยุในระบบ สเตอริโอ คุณภาพเสียงชัดเจนเป็นพิเศษ จึงมีผู้นิยมฟังรายการประเภทเพลง หรือดนตรีทางวิทยุกันมาก

คุณค่าทางการศึกษาของวิทยุ.-

๑. ส่งเสริมการเรียนรู้ด้านภาษา จากการฟังรายการทุกประเภท รายวิทยุส่วนใหญ่จะใช้ภาษาถูกต้องตามหลักภาษาและแบบแผนของทางราชการ

๒. ให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง โดยอาศัยเทคนิคของวิทยุ เช่น การพูดจูงใจการใช้เสียงดนตรี เสียงประกอบ การเสนอซ้ำ ๆ

๓. เปิดโอกาสให้นำวิทยากร ผู้มีชื่อเสียง หรือ ผู้ชำนาญการสอน ถ่ายทอดความรู้ไปสู่ผู้รับจำนวนมากพร้อมกัน

๔. ปลูกฝังความรู้สึกด้านคุณธรรม ค่านิยมต่าง ๆ ได้ดี เช่นความรักชาติตลอดจนค่านิยมทางศาสนาและจริยธรรมต่าง ๆ

๕. คุณสมบัติด้านเสียงของวิทยุเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการสอนด้านภาษา ขับร้องดนตรี

๖. ส่งเสริมการศึกษาตามอัธยาศัย เนื่องจากสามารถรับฟังได้ทุกเวลา ทุกสถานที่

๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๓๑๐

วันพระราชสมภพ ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

๒๖ กุมภาพันธ์ – วันสหกรณ์แห่งชาติ

วันสหกรณ์แห่งชาติ ตรงกับวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ของทุกปี เหตุเพราะเป็นวันที่สหกรณ์แห่งแรกในประเทศไทย คือสหกรณ์ "วัดจันทร์ไม่จำกัดสินใช้" ที่อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลกได้รับการจดทะเบียนจากกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์(นายทะเบียนสหกรณ์ในขณะนั้น) เป็นนายทะเบียนสหกรณ์พระองค์แรกของไทย ซึ่งเป็นนิติบุคคลสหกรณ์แห่งแรกในสยามประเทศ

ประวัติความเป็นมาของสหกรณ์ในประเทศไทย

ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตมรสุม มีดิน ฟ้า อากาศเหมาะแก่การเกษตร อาชีพส่วนใหญ่ของพลเมืองคือการประกอบการเกษตรสาขาต่าง ๆ การผลิตในสมัยก่อน ๆ ผู้ผลิตคนหนึ่ง ๆ ผลิตเพียงแต่เลี้ยงครอบครัว มิได้มุ่งหวังเพื่อขาย ส่วนสินค้าที่ผลิตไม่ได้ก็เอาสินค้าที่ผลิตได้ไปแลกเปลี่ยน ต่อมาบ้านเมืองเจริญขึ้น การพาณิชย์ที่ใช้เงินเป็นสื่อกลางก็เจริญขึ้น การเอาของมาแลกกันก็น้อยลง ในขณะเดี๋ยวกันประชากรก็เพิ่มมากขึ้นด้วย ดังนั้นความต้องการสินค้าอุปโภคของประชากรจึงปริมาณสูงขึ้นด้วย

ด้วยเหตุนี้ผู้ผลิตข้าวพอเลี้ยงครอบครัวเท่านั้นไม่ได้ ต้องผลิตให้มากขึ้นเพื่อขายเอาเงินเพื่อซื้อสินค้า เมื่อมีการผลิตข้าวมากขึ้นก็ต้องใช้ปัจจัยทุนในการผลิตมากขึ้นด้วย ถ้าผู้ผลิตรายใดไม่มีปัจัยทุน ก็ต้องกู้ยืมจากธนบดี ในอัตราดอกเบี้ยสูง เมื่อผลิตข้าวได้แล้วก็นำไปขายเพื่อชำระหนี้ การชำระหนี้ดังกล่าวจะดำเนินไปด้วยดีก็ต่อเมื่อมีการผลิตข้าวได้ผลดี แต่ระบบการผลิตข้าวในสมัยนั้นขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศทั้งนั้น กล่าวคือถ้าปีใดฝนตกตามฤดูกาล และมีปริมาณน้ำฝนพอเหมาะแก่ความต้องการ การผลิตข้าวก็ได้ผลดี แต่ถ้าปีใดสภาพดินฟ้าอากาศไม่ดี ผลผลิตที่ได้จะลดน้อยลง มีผลทำให้การบริโภคไม่เพียงพอ และไม่มีข้าวสำหรับชำระหนี้ด้วย และต้องมีการจำนองที่นาและทรัพย์สินเป็นหลักประกันเงินกู้ด้วย ในที่สุดก็ไม่มีที่ดินในการทำมาหากินเป็นของตนเอง

สถานการณ์ทางเศรษฐกิจดังกล่าวได้เป็นมูลเหตุแห่งความดำริของรัฐบาลในสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่จะช่วยเหลือเกษตรกร โดยครั้งแรกมีผู้ดำริที่จะจัดตั้งธนาคารเกษตรขึ้นที่ส่วนกลางและมีสาขาตามภูมิภาค เพื่อให้เครดิตแก่เกษตรกรโดยตรง แต่เมื่อได้พิจารณาอย่างรอบคอบแล้วก็พบปัญหาการชำระหนี้ไม่ได้ตามสัญญา การตั้งธนาคารเกษตรเลยไม่ประสบความสำเร็จ

จากนั้นพระเจ้าพี่ยาเธอกรมพระจันทบุรีนฤนาท เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติในสมัยพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุลเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงดำริที่จะนำสหกรณ์มาใช้ การสหกรณ์จะอำนวยประโยชน์ให้แก่ประชาชนเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงได้ทรงมอบให้ กรมพาณิชย์และสถิติพยากรณ์ ซึ่งพระราชวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ทรงดำรงตำแหน่งอธิบดีอยู่ในขณะนั้นเป็นผู้เริ่มชักนำสหกรณ์เข้ามาสู่ประเทศไทย

การเริ่มจัดตั้งสหกรณ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ได้ทรงศึกษาพิจารณาประเภทสหกรณ์ซึ่งมีอยู่ในต่างประเทศ เพื่อเลือกสรรนำมาใช้ในประเทศไทย ในที่สุดได้เห็นว่าสหกรณ์หาทุน (สหกรณ์เครดิตแบบไรพ์ไฟเซน) เหมาะที่สุดสำหรับชนบทไทย

วิวัฒนาการสหกรณ์

ระยะแรก .-การสหกรณ์ในประเทศไทยเริ่มต้นด้วยการทดลองจัดตั้งสหกรณ์ประเภทหาทุนขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ การจัดตั้งสหกรณ์ในระยะแรกจึงดำเนินไปอย่างช้า ๆ จนถึงสิ้นปี พ.ศ. ๒๔๗๐ ซึ่งเป็นเวลา ๑๒ ปี นับตั้งแต่เริ่มนำสหกรณ์เข้ามาในประเทศไทย ได้มีการจัดตั้งสหกรณ์ประเภทนี้ขึ้นมาเพียง ๘๑ สมาคมเท่านั้น ซึ่งจัดตั้งอยู่ใน ๓ จังหวัด คือ พิษณุโลก ลพบุรีและอยุธยา โดยมีเงินทุนให้กู้ยืมเพียง ๓๐๐,๐๐๐ บาทเศษ เมื่อเป็นที่ประจักษ์ว่าสหกรณ์เป็นสิ่งที่สามารถจัดทำได้สำเร็จ จึงประกาศใช้พระราชบัญญัติสหกรณ์พ.ศ. ๒๔๗๑ ขึ้นและจัดหาทุนมาให้กู้ยืมมากขึ้น หลังจากนั้น ๕ ปี ได้มีการขยายสาขาออกไปได้อีก ๗ จังหวัด

เมื่อเปลี่ยนแปลง (การปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕)การสหกรณ์จึงได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เพราะรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมสหกรณ์ มีการจัดตั้งสหกรณ์ประเภทอื่น ๆ ขึ้น เช่น สหกรณ์ออมทรัพยร์ สหกรณ์ที่ดิน ร้านสหกรณ์ ต่อมาสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ขยายงานสหกรณ์จากระดับกรมขึ้นมาเป็นระดับกระทรวง เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๕

ระยะอยู่ตัว .- หลังจากปี พ.ศ. ๒๔๙๗ อัตราการขยายตัวของสหกรณ์ลดลงเนื่องจาก เป็นระยะที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วของสหกรณ์มาก่อน จนไม่สามารถจะดูแลให้ทั่วถึง ในขณะเดียวกันกระทรวงสกหรณ์ถูกยุบไปรวมกับกระทรวงการพัฒนาการแห่งชาติ ขาดกำลังเจ้าหน้าที่ที่มีประสิทธิภาพ

การเปลี่ยนแปลงของสหกรณ์คือมีการยุบกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ซึ่งมีผลทำให้กรมสหกรณ์ทีดิน กรมสหกรณ์พาณิชย์และธนกิจ และสำนักงานปลัดกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติเดิม ถูกยุบมารวมเป็น "กรมส่งเสริมสหกรณ์" เพียงกรมเดียว ส่วนกรมตรวจสอบบัญชีสหกรณ์ยังคงอยู่ในฐานะเดิม เพราะงานตรวจสอบบัญชีเป็นงานอิสระ กรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ขึ้นกับกระทรวงการเกษตรและสหกรณ์ตั้งแต่ วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๕

ระยะอยู่ตัว หลังจากปี พ.ศ. ๒๔๙๗ อัตราการขยายตัวของสหกรณ์ลดลงเนื่องจาก เป็นระยะที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วของสหกรณ์มาก่อน จนไม่สามารถจะดูแลให้ทั่วถึง ในขณะเดียวกันกระทรวงสกหรณ์ถูกยุบไปรวมกับกระทรวงการพัฒนาการแห่งชาติ ขาดกำลังเจ้าหน้าที่ที่มีประสิทธิภาพ

การเปลี่ยนแปลงของสหกรณ์คือมีการยุบกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๕ ซึ่งมีผลทำให้กรมสหกรณ์ทีดิน กรมสหกรณ์พาณิชย์และธนกิจ และสำนักงานปลัดกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติเดิม ถูกยุบมารวมเป็น "กรมส่งเสริมสหกรณ์" เพียงกรมเดียว ส่วนกรมตรวจสอบบัญชีสหกรณ์ยังคงอยู่ในฐานะเดิม เพราะงานตรวจสอบบัญชีเป็นงานอิสระ กรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ขึ้นกับกระทรวงการเกษตรและสหกรณ์ตั้งแต่ วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๕

ผลการดำเนินงานทางสหกรณ์ในธุรกิจต่าง ๆ ได้รับความเชื่อถือเป็นที่ไว้วางใจของสมาชิกจนทำให้จำนวนสหกรณ์ จำนวนสมาชิก ปริมานเงินทุน และผลกำไรของสหกรณ์เพิ่มขึ้นทุกปี ปัจจุบันสหกรณ์ ทั่วประเทศ ณ วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๒ ประมาณ ๕,๕๔๙ สหกรณ์ และสมาชิก ๗,๘๓๕,๘๑๑ ครอบครัวของสหกรณ์ในประเทศไทยจึงมี ความสำคัญต่อเศรษฐกิจ ของประเทศโดยเฉพาะต่อประชาชนที่ยากจน สหกรณ์จะเป็นสถาบันทางเศรษฐกิจและสังคมที่ช่วยแก้ไขปัญหาในการประกอบอาชีพ และช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของประชานให้ดีขึ้น

รัฐและขบวนการสหกรณ์ไทยได้ร่วมจิตใจจัดงาน "วันสหกรณ์แห่งชาติ" ขึ้นเป็นประจำทุกปีไม่ว่าจะเศรษฐกิจปีใด จัดขึ้นเพื่อร่วมรำลึกถึงพระมหากรุณาคุณขององค์ผู้ให้กำเนิด "สหกรณ์" พระองค์ท่านไม่ใช่เป็นเพียงผู้รับจดทะเบียนเท่านั้น แต่เป็น "พระบิดาแห่งสหกรณ์ไทย" ยังเป็นผู้ปูพื้นฐานและทรงเป็นกำลังสำคัญในการเผยแพร่และจัดตั้งขยายกิจการการสร้างความผาสุกแก่ประชาชนเพื่อการกินดีอยู่ดี เป็นที่แซ่ซ้องสรรเสริญ

สหกรณ์ในปัจจุบัน.-

สหกรณ์ที่มีอยู่ในขณะนี้ ได้มีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ออกตามความในพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๑๑ กำหนดสหกรณ์ออกเป็น ๖ ประเภท คือ

๑. สหกรณ์ร้านค้า

๒. สหกรณ์ประมง

๓. สหกรณ์การเกษตร

๔. สหกรณ์บริการ

๕. สหกรณ์นิคม

๖. สหกรณ์ออมทรัพย์

การจัดรูปองค์การของสหกรณ์

สหกรณ์ไม่ใช้องค์การของรัฐ เพื่อดำเนินธุรกิจหรือกิจกรรมทางสังคม

สหกรณ์ไม่ใช้บริษัทเอกชน เพื่อดำเนินธุรกิจแสวงหาผลกำไรแก่ผู้ถือหุ้น

สหกรณ์ไม่ใช้องค์การของรัฐ ไม่เป็นกระทรวงทะบวง และกรมต่าง ๆ

สหกรณ์ไม่ใช้องค์การ เพื่อสร้างสีสันทางการเมือง ซึ่งไม่ได้มอบบริการที่บริสุทธ์เหมาะสมดั่งที่สมาชิกต้องการ

"สหกรณ์" ตามความหมายขององค์การสัมพันธ์ภาพสหกรณ์ ระหว่างประเทศ คือ องค์การอิสระของบุคคลซึ่งร่วมกันด้วย ความสมัครใจ เพื่อสนองความต้องการ และจุดมุ่งหมายร่วมกันทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมโดยการดำเนินวิสาหกิจที่ พวกเขาเป็นเจ้าของร่วมกันบริหารงาน และควบคุมตามแนวทางประชาธิปไตย

หลักการสหกรณ์ ๗ ประการ

๑. การเปิดรับสมาชิกทั่วไปและด้วยความสมัครใจ

๒. การควบคุมโดยสมาชิกตามหลักประชาธิปไตย การเป็นสมาชิกโดยสมัครใจและเปิดกว้าง

๓. การมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจโดยสมาชิก

๔. การปกครองตนเองและความเป็นอิสระ

๕. การศึกษา ฝึกอบรม และข่าวสาร

๖. การร่วมมือระหว่างสหกรณ์

๗. ความเอื้ออาทรต่อชุมชน

หน้าที่ของรัฐบาลต่อสหกรณ์

สหกรณ์เป็นองค์การปกครองตนเองโดยไม่ถูกควบคุมและชี้นำโดยรัฐบาล และบทบาทของรัฐบาลที่เกี่ยวกับสหกรณ์ คือ การออกกฎหมาย นโยบาย การจดทะเบียน การอำนวยความสะดวก การให้คำแนะนำและการชำระบัญชี

ความเสมอภาคเท่าเทียมของสมาชิก

สหกรณ์เป็นองค์การที่มีเอกลักษณ์เฉพาะไม่เหมือนองค์การรูปแบบใด เพราะการดำเนินการสหกรณ์จะมีกำไรหรือขาดทุนสมาชิกคือ ผู้รับที่ได้รับการแบ่งปันผลการดำเนินการอย่างเท่าเทียมกัน เพราะว่า สมาชิกเป็นเจ้าของสหกรณ์และเป็นผู้ใช้บริการสหกรณ์ การมารับบริการจากสหกรณ์ของสมาชิกเป็นชัยชนะของสมาชิก นี่คือความแตกต่าง ถ้าสมาชิกผู้ถือหุ้นไม่มาใช้บริการขององค์สหกรณ์ ก็ไม่ใช่สหกรณ์ เพราะการรวมกันเป็นสหกรณ์ คือความต้องการใช้บริการของสมาชิกเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของตน นั่นหมายถึง สมาชิกแต่ละคนเพื่อทุกคนและทุกคนเพื่อแต่ละคน (Each for all and All for each)

ปรัชญาสหกรณ์

การช่วยเหลือตนเองและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

ความรับผิดชอบร่วมกัน

ยึดหลักประชาธิปไตย

ความเสมอภาค

ความเป็นธรรม

การรวมกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและการพึ่งพาอาศัยกัน

จริยธรรมสหกรณ์

ความซื่อสัตย์

โปร่งใส

ความรับผิดชอบต่อสังคม

การเอาใจใส่ผู้ด้อยกว่า

วัตถุประสงค์ของสหกรณ์

สหกรณ์มีเป้าหมายหลักคือการทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมของสมาชิกดีขึ้นและวัตถุประสงค์ของสหกรณ์ คือการทำให้เป้าหมายของสหกรณ์บรรลุผลสำเร็จเป็นรูปธรรมด้วยวิธีการสหกรณ์

โครงสร้างการบริหารจัดการสหกรณ์

สมาชิกสหกรณ์ประกอบด้วย บุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคลในกรณีสหกรณ์ชั้นสูง การสมัครเป็นสมาชิกต้องจ่ายค่าธรรมเนียมแรกเข้า และการถือหุ้นในสหกรณ์ รวมทั้งสมาชิกคือผู้กำหนดเงื่อนไข หรือข้อบังคับในการดำเนินงานสหกรณ์ในที่ประชุมใหญ่ และที่ประชุมใหญ่เลือกตั้งกรรมการดำเนินการ ผู้ตรวจสอบกิจการ จัดจ้างผู้สอบบัญชี และหน้าที่อื่น ๆ นี่คือการควบคุมดูแลตรวจสอบ ตามหลักประชาธิปไตยและรับผิดชอบ ร่วมกันของบรรดาสมาชิก

องค์ประกอบการบริหารจัดการ

การเลือกตั้งผู้แทนในการบริหารจัดการองค์กร และเป็นสิทธิและความรับผิดชอบของสมาชิก รวมถึงการออกข้อบังคับของสหกรณ์ การมอบหมายนโยบายให้คณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ไปดำเนินการ คณะกรรมการดำเนินการมีหน้าที่แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ คือผู้จัดการสหกรณ์เท่านั้น เป็นผู้ทำหน้าที่และมีความรับผิดชอบ บริหารสหกรณ์ตามนโยบายที่คณะกรรมการดำเนินการกำหนดก็คือการให้บริการแก่มวลสมาชิกสหกรณ์นั่นเอง

การลงทุนในสหกรณ์

สมาชิกเป็นผู้ออกทุนในสหกรณ์ ด้วยการถือหุ้นเพื่อใช้เงินทุนนั้นในการดำเนินธุรกิจด้วยการจัดหาบริการด้านต่าง ๆ ให้แก่มวลสมาชิก หากเงินทุนไม่เพียงพอ สามารถ จัดหาเงินทุนด้วยการกู้ยืม การขอรับการอุดหนุนจากแหล่ง ต่าง ๆ ได้แต่การบริหารจัดการเงินทุนต้องอยู่บนพื้นฐานของความสมดุลระหว่างสินทรัพย์ กับ หนี้สินและทุนสหกรณ์เป็นองค์การเศรษฐกิจ จึงต้องมีความสามารถในการบริหารเงินทุนให้มีประสิทธิผล และเป็นไปอย่างเปิดเผย มีการตรวจสอบบัญชี และการตรวจสอบกิจการ ซึ่งสามารถตรวจสอบโดย เจ้าหน้าที่ของรัฐบาล หรือขบวนการสหกรณ์ โดยจัดจ้างบริษัทเอกชนภายนอกก็ได้

การดำเนินการธุรกิจสหกรณ์

สมาชิกสหกรณ์มีสิทธิหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และมีความรู้ความเข้าใจในนโยบายแห่งรัฐ กฎหมายต่าง ๆ รู้วิธีการและ เทคนิคต่าง ๆ เพราะการบริหารจัดการสหกรณ์ที่ควบคุมโดยสมาชิกนั้น ต้องใช้ความชำนาญการอย่างยิ่งในการบริหาร เงินทุนบุคลากร ทรัพยากร

๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ มีคำพิพากษาประวัติศาสตร์คดียึดทรัพย์ 46,373,687,454.70 บาท พร้อมดอกผล ให้ตกเป็นของแผ่นดิน

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาในคดี ที่อัยการสูงสุด เป็นผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งยึดทรัพย์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว จำนวน 76,621,603 ล้านบาทเศษ ตกเป็นของแผ่นดิน ตามรัฐธรรมนูญปี 40 มาตรา 110,208,209,291,292 พรบ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี ปี43 มาตรา4,5,6 ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. พ.ศ.2542 มาตรา 32,33,100และป.อาญามาตรา 119,122 กรณีถูกกล่าวหาว่า มีผลประโยชน์เป็นทรัพย์สิน เนื่องจากการกระทำที่เป็นการขัดกัน ระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคล และประโยชน์ส่วนรวม และได้มาโดยไม่สมควร เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ อันเป็นการรร่ำรวยผิดปกติ คือ เป็นจำนวนกว่าร้อยละ 48 ของหุ้นที่จำหน่ายได้ ที่พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง โดยปกปิดอำพรางไว้ในชื่อนายพานทองแท้ น.ส.พินทองทา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์

โดยองค์คณะผู้พิพากษาได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จากเอกสารหลักฐานและพฤติกรรมทั้งหมดของผู้ถูกกล่าวหาคือ พ.ต.ท.ทักษิณ เห็นว่า มีพฤติการณ์อำพรางการถือครองหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผ่านบริษัทที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเจ้าของ และให้บุตร ญาติพี่น้อง คนใกล้ชิดถือหุ้นแทน รวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ใช้อำนาจหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี สั่งการและมอบนโยบายให้รัฐมนตรีดำเนินการตามลำดับชั้นในการแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพาสามิต ด้วยการตราพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพาสามิต (พ.ศ.2527) พ.ศ.2546 และกรณีอนุมัติให้รัฐบาลสหภาพพม่า กู้เงินธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือเอ็กซิมแบงก์ จำนวน 4,000 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน และขยายเวลาปลอดการชำระหนี้ จาก 2 เป็น 5 ปี เพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์การพัฒนาระบบโทรคมนาคมของพม่า จาก บ.ชินแซท ฯ และได้ใช้อำนาจหน้าที่กำกับดูแลตามลำดับชั้นในกรณีแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการ ด้วยการปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ที่ต้องจ่ายให้บริษัท ทศท จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (มือถือ) แบบบัตรเติมเงิน เป็นร้อยละ 20 จากเดิมที่ต้องจ่ายแบบอัตราก้าวหน้าในอัตราร้อยละ 25- 30 การแก้ไขสัญญาดำเนินการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่อให้ใช้เครือข่ายร่วม เป็นการปรับปรับลดค่าใช้จ่ายเพื่อเอื้อประโยชน์ชินคอร์ปฯ และละเว้นอนุมัติส่งเสริม ธุรกิจดาวเทียม การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน ลงวันที่ 27 ต.ค.47 การอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทน ดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ เอื้อประโยชน์ บ.ชินคอร์ป ฯ และ บ.ชินแซท เทิลไลท์ จำกัด ซึ่งจากการดำเนินการทั้งหมด ถือเป็นการเอื้อประโยชน์โดยตรงต่อบริษัทชินคอร์ปฯ และบริษัทในเครือ ทำให้ได้ประโยชน์จากการดำเนินกิจการ และเงินปันผลของบริษัทในเครือ ดังนั้นเงินปันผลและเงินค่าขายหุ้น จึงถือเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่สมควร สืบเนื่องมาจากการใช้หน้าที่นายกรัฐมนตรี ศาลจึงมีอำนาจในการที่จะให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน ตามประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2542 แต่ศาลเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ก่อตั้งบริษัทชินคอร์ปฯ มาตั้งแต่ก่อนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จึงมีมติเสียงข้างมากให้ทรัพย์สินที่ได้มาตั้งแต่วันที่เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตกเป็นของแผ่นดิน โดยให้เงินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ได้จากการขายหุ้นชินคอร์ป และเงินปันผลบางส่วน เป็นเงิน 46,373,687,454.70 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน โดยให้บังคับเอาจากทรัพย์สินที่อายัด ตามคำสั่ง คตส. ซึ่งเป็นบัญชีเงินฝาก และหน่วยลงทุน ที่อยู่ในชื่อของ น.ส.พิณทองทา นายพานทองแท้ ชินวัตร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายบรรณพจน์ ดามาพงษ์ คุณหญิงพจมาน และ พ.ต.ท.ทักษิณ หากได้เงินครบถ้วนแล้ว ก็ให้เพิกถอนคำสั่งอายัดทรัพย์สินอื่นของผู้ ถูกกล่าวหา และผู้คัดค้านที่ 1-5 และให้ยกคำคัดค้านของผู้คัดค้านที่ 7- 8-14-17และ19 กับเพิกถอนคำสั่งอายัดทรัพย์สินของผู้คัดค้านอื่น สำหรับยอดเงินที่ คตส.ยึดไว้ทั้งสิ้น จำนวน 76,621,603,061.05 บาท ศาลสั่งยึดทรัพย์จำนวน 46,373,687,454.70 บาท คืนทรัพย์สินจำนวน 30,247,915,606.35 บาท

องค์ คณะมีมติเสียงข้างมากว่า ทรัพย์สินที่ตกเป็นของแผ่นดินมีเฉพาะเงินปันผลค่าหุ้น และเงินที่ได้จากการขายหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 46,373,687,454.70 บาท พร้อมดอกผล ของเงินจำนวนดังกล่าวให้ตกเป็นของแผ่นดิน โดยบังคับจากทรัพย์สินที่อายัดไว้ก่อนหน้านี้

ย้อนรอยคดียึดทรัพย์ นักการเมือง ร่ำรวยผิดปกติ
          1. ยึดทรัพย์จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
           การยึดทรัพย์ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อดีตนายกฯ อาศัยมาตรา 17ของรัฐธรรมนูญการปกครองแห่งราชอาณาจักร พ.ศ 2507 โดยนายกรัฐมนตรีจอมพลถนอม กิตติขจร ในขณะนั้น มีคำสั่งให้ทรัพย์สินกองมรดกของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และทรัพย์สินในกองมรดกของท่านผู้หญิงวิจิตรา ธนะรัชต์ ให้ตกเป็นของรัฐ
           โดยอ้างเหตุผลในการยึดทรัพย์ว่า โดยปรากฏชัดเจนปราศจากข้อสงสัยว่า จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ขณะยังมีชีวิตอยู่ได้ใช้อำนาจหน้าที่ในทางราชการโดยมิชอบกระทำการเบียดบังและยักยอกทรัพย์ของรัฐไปหลายครั้งมีจำนวนมากถึง 604,551,276.62 บาท การกระทำดังกล่าวนี้มีผลเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงของราชอาณาจักร

          2. ยึดทรัพย์จอมพลถนอม กิตติขจร กับพวก
           การยึดทรัพย์จอมพลถนอมกับพวกคือ จอมพลประภาส จารุเสถียร และพันเอกณรงค์ กิตติขจร เกิดขึ้นหลังจากถูกนักศึกษาประชาชนขับไล่ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งแรงกดดันของสังคมในตอนนั้นทำให้นายสัญญา ธรรมศักดิ์ นายกรัฐมนตรี ใช้มาตรา 17 ยึดทรัพย์สินของจอมพลถนอมและพวก รวมมูลค่า 400 กว่าล้านบาท ในปี 2517 แม้ว่าฝ่ายจอมพลถนอม จะต่อสู้เพื่อขอทรัพย์สินคืนโดยการฟ้องศาลแต่ก็ไม่สำเร็จ

          3. ยึดทรัพย์พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ กับพวก ที่เป็นรัฐมนตรีรวม 10 คน
           หลังถูกยึดอำนาจเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 คณะผู้รักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช. ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินเพื่อทำการอายัดทรัพย์และตรวจสอบทรัพย์สินของนักการเมืองที่เข้าข่ายร่ำรวยผิดปกติ ซึ่งในที่สุดมีคำสั่งยึดทรัพย์รวมมูลค่ากว่า 1,600 ล้านบาท โดยทั้ง 10 คน ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาล และศาลฎีกาตัดสินว่า คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินไม่มีอำนาจยึดทรัพย์ จึงได้ทรัพย์สินคืนไป ไม่โดนยึด

          4. คดีพลเอกชำนาญ นิลวิเศษ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม
           ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ในวงราชการ (ป.ป.ป.) ตรวจพบว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ 6,624,425.22 บาท ภรรยา 54,469,575.01 บาท และบุตรชาย 10 ล้านบาท
           นอกจากนั้นยังปรากฏหลักฐานว่ามีทรัพย์สินของบุตรสาว เครือญาติและผู้ใต้บังคับบัญชาอีกประมาณ 143 ล้านบาท ศาลฎีกาตัดสินเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2539 ยึดทรัพย์ 69.1 ล้านบาท

          5. คดีนายเมธี บริสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
           ถูกร้องเรียนว่า ใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์จากการจัดซื้อแท่นพิมพ์ ทุจริตในการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ป.ป.ป.วินิจฉัยว่าทรัพย์สินร่ำรวยผิดปกติ 16,826,077 บาท ศาลชั้นต้นยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยึดทรัพย์ 12 ล้านบาท ต่อมาวันที่ 30 มิถุนายน 2541 ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

          6. คดีนายสมภพ อุณหวัฒน์ นายช่างโยธาระดับ 9 กรมโยธาธิการ กระทรวงมหาดไทย ร่ำรวยผิดปกติ 80 ล้านบาท
           ป.ป.ป.ชี้มูลว่าร่ำรวยผิดปกติ ประกอบด้วยที่ดิน รถยนต์ฮอนด้า รถยนต์โตโยต้า โคโรน่า หุ้น และเงินฝากธนาคาร วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2547 ศาลแพ่งพิพากษาให้นายสมภพโอนทรัพย์สินจำนวน 73,525,436.09 บาท ให้กระทรวงการคลัง

          7. คดีนายธีระชัย ชัยสุนทรโยธิน อดีตเจ้าหน้าที่บริหารงานพัสดุ 6 สำนักงานชลประทานที่ 11 จังหวัดนครศรีธรรมราช
           ป.ป.ป.มีมติยึดทรัพย์ 2,064,000 บาท คดีนี้ศาลชั้นต้นยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยึดทรัพย์สินและคดีถึงที่สุด

          8. คดีนายสุวิทย์ ลอยใหม่ ข้าราชการซี 3 องค์การคลังสินค้า กระทรวงพาณิชย์
           ป.ป.ป.ชี้มูลว่านายสุวิทย์มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ 1.7 ล้านบาท ศาลชั้นต้นพิพากษายึดทรัพย์ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2543 คดีสิ้นสุดในชั้นอุทธรณ์

          9. คดีนายรักเกียรติ สุขธนะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
           ป.ป.ช.มีมติยึดทรัพย์ 233.8 ล้านบาท ต่อมาวันที่ 30 กันยายน 2546 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษายึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน

          น่าสังเกตว่าในยุคหลัง ๆ ที่เจ้าหน้าที่รัฐถูกกล่าวหาว่ามีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ โดยใช้กฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 หรือกฎหมาย ป.ป.ช. และข้อมูลการเสียภาษีเงินได้ที่ยื่นต่อกรมสรรพากรเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบ "ที่มาที่ไป" ของทรัพย์สิน ซึ่งเมื่อถึงที่สุดแล้ว จะถูกยึดทรัพย์ทุกราย
           จะเห็นได้ว่ามูลค่าสินทรัพย์ของนักการเมืองที่ถูกยึดในอดีต เทียบไม่ได้กับทรัพย์สินจำนวนกว่า 7.6 หมื่นล้านบาท ในคดีที่อัยการยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ขอให้พิพากษายึดทรัพย์ดังกล่าวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตกเป็นของแผ่นดิน...ถึงแม้จะปรับค่าให้เป็นมูลค่าในปัจจุบันแล้วก็ตาม

ที่มาของข้อมูลย้อนรอย.-นสพ.คมชัดลึก

๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๓๒๗

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช อัญเชิญพระแก้วมรกต จากพระราชวังเดิมธนบุรี มาประดิษฐาน ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง

๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๔

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์เขื่อนสิริกิติ์ อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์

๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๕๔

กระทรวงกลาโหมได้ส่งนายทหารสามนาย ออกเดินทางไปศึกษาวิชาการบิน ณ ประเทศฝรั่งเศส นับเป็นชุดแรกที่ส่งออกไปศึกษา และได้สำเร็จการศึกษากลับมาถึงประเทศไทยเมื่อ ๒ พฤศจิกายน ๒๔๕๖

๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๐

คณะรัฐมนตรีลงอนุมัติ อนุมัติหลักการให้ความช่วยเหลือทางทหาร แก่รัฐบาลสาธารณรัฐเวียดนาม โดยให้กองทัพบกจัดส่งหน่วยกำลังรบทางพื้นดินไปปฏิบัติการรบ กองทัพบกจึงจัดตั้งหน่วยรบเฉพาะกิจขึ้นในรูป กรมทหารอาสาสมัคร(กรม อสส.) ส่งไปร่วมรบกับชาติพันธมิตร ในประเทศเวียดนาม กรม อสส. นี้ได้รับสมญานามว่าจงอางศึก

๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๔๕๕

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตั้งโรงไฟฟ้าขึ้นที่สามเสน

โปรดเลือก "คลิ๊ก" เพื่ออ่านเหตุการณ์ใน ๑๒ เดือน

มกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายน
พฤษภาคม มิถุนายน กรกฎาคม สิงหาคม
กันยายน ตุลาคม พฤศจิกายน ธันวาคม

 

นำเสนอโดย
วัดท่าไทร ต.ท่าทองใหม่
อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี 84290