เห็นภาพข่าวเกี่ยวกับพระน้ำฝน
พาพระไปตรวจฉี่วัดอ้อน้อย หรือวัดอื่น ๆ และถูกพุทธอิสระเจ้าอาวาสของเจ้าอาวาสที่อยู่ฉากหลังวัดอ้อน้อยอีกที่
"ยันหน้าหงาย" ถามหาความบริสุทธิ์ต่อความบริสุทธิ์ของผู้มาจะมาตรวจความบริสุทธิ์ของคนอื่น
ทั้งมีข่าวก่อนหน้านี้อีกหลายวัดที่ไม่เป็นข่าว หรือวัดอื่น ๆ จังหวัดอื่นโดยเจ้าคณะจังหวัด
เช่น กทม. แล้วให้รู้สึกว่าเรากำลังเข้าใจท่าทีต่อความเป็นองค์กรที่ผิดพลาด
และผิดบาป และในเวลาเดียวกันเป็นพฤติกรรมและการกระทำที่ไม่ถูกต้อง
หมายถึง เรากำลังสมสู่กับวัฒนธรรมอำนาจนอกระบบที่ไม่ถูกต้อง จึงขอแสดงทัศนะร่วมเพื่อประกอบการพิจารณาว่าเข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมและการกระทำแบบนี้
การตรวจเพื่อหา เท่ากับว่าเรายอมรับว่ามีหรือมีพฤติกรรมว่ามี เท่ากับว่าวัดเป็นศูนย์บัญชาการยาเสพติด
เจ้าอาวาสไร้ประสิทธิ์ภาพในการบริหารดูแลคน ควรปลด และหาผู้ดำเนินการแทน
หรือในเวลาเดียวกัน เป็นเครื่องยืนยันว่าระบบการปกครองด้วยคนคนเดียว
ตามระบบอำนาจวัฒนธรรมกฎหมายเก่า พ.ศ.2505 ไม่สามารถที่จะช่วยดูแลหรือแก้ปัญหาการปกครองเชิงโครงสร้างตามพระธรรมวินัยได้
ดังนั้นจึงถึงเวลาที่จะต้องถามหากฎหมายคณะสงฆ์หรือกฏหมายที่จะช่วยมาพระธรรมวินัยในการปกครองคณะสงห์อย่างนั้นหรือไม่
?
1.การบวชเข้ามา
ด่านแรกต้องผ่านกระบวนการตรวจจากสำนักที่จะใบบวชที่เรียก "ใบสมัครบวช"
ที่จะต้องมีหลักฐานเป็นใบตรวจเลือด ตรวจโรค และใบกำกับอาชญากรรม จนครบ
เมื่อมีครบจึงผ่านขั้นตอนการบวช พิธีกรรมการบวชของพระอุปัชฌาย์ การอบรมของวัดโดยเจ้าอาวาสและผู้ดูแล
เรียกว่ากระบวนการภายในวัดถ้าทำกันจริงจังตามหลักปฏิบัติโดยมีพระธรรมวินัยเป็นกรอบก็ถือว่าเพียงพอต่อการรักษาพระภิกษุสามเณรภายในวัดอย่างแน่นอน
2.
เมื่อบวชเข้ามาแล้ว พระธรรมวินัยย่อมเป็นเครื่อง "กรอง"
เครื่อง "กำกับ" วินิจฉัย และดูแล การการปฏิบัติดำเนินชีวิตของพระภิกษุในอารามให้ปฏิบัติโดยมีเจ้าอาวาส
พระคู่สวด พระผู้ช่วยเจ้าอาวาสที่ต้องตรวจตราดูแลความเรียบร้อยบนกรอบของพระธรรมวินัย
กฎคำสั่งจากเจ้าพระสังฆาธิการ และกฏหมายบ้านเมืองรวมทั้งอาชญากรรมประเภทต่าง
ๆ ที่จะเข้ามาในวัด
3.
ตรวจฉี่คือยอมรับว่าเจ้าอาวาสไร้ประสิทธิภาพ ถ้าผู้บริหารระดับวัดมองว่าการตรวจฉี่ทำได้หรือยอมรับโดยมองว่าเพื่อความบริสุทธิ์ใจก็ตรวจ
ตรวจแล้วก็แล้วกัน ในทัศนะของข้าพเจ้าถือว่าการตรวจฉี่เป็นความอ่อนด้อยของระบบองค์กร
หมายถึง แปลว่าองค์กรไร้ประสิทธิภาพที่จะดำเนินการใด ๆ ที่จะอำนวยให้มนุษย์เป็นคนดีในสังคมได้
ทั้งที่เวลากล่าวอ้างเราจะได้ยินพระมีพระธรรมวินัย ศีล มีคำสั่งมหาเถรสมาคม
มีระเบียบ คำสั่งเจ้าอาวาส และมีประชาชุมชนการตรวจสอบดูแล แต่เมื่อท่านเหล่านั้นไม่สามารถดำเนินการได้
ก็แปลว่า ไร้ประสิทธิภาพองค์กร หรือเป็นองค์กรที่ไม่ก่อให้เกิดผลต่อสังคม
รวมทั้งจะเป็นภาระต่อสังคมด้วยการไปเอาตำรวจ ไปเอาสาธารณสุข ที่ต่อหน่วยต่อหัวของอาชญากรรม
กรณีตัวตำรวจกับโจร ต่อหน่วยต่อหัวด้านการแพทย์ต่อคนในองค์รวมก็แย่อยู่แล้ว
ยังเอาองค์กรศาสนาไปเป็นภาระต่อสังคมในองค์รวมอีกด้วย จะเรียกว่าองค์กร
"ถุดถุย" ได้หรือไม่ เพราะมันปกกระเปลี้ยเกินกว่าจะช่วยเหลือตัวเอง
หรือดำเนินการให้ตัวเองมีประโยชน์ต่อสังคมได้ การตรวจฉี่เท่ากับคณะสงฆ์ไร้ประสิทธิภาพในการบริหารองค์กร
ก็แปลว่าทำไมไม่เป็นสาขาหนึ่งของตำรวจ หรือสาขาหนึ่งของหน่วยงานราชการไป
ไม่ได้ยกพระธรรมวินัย เป็นใหญ่ ทำให้เจ้าอาวาสไร้สถานะทางการบริหาร
บางคนอาจจะแย้งว่าแล้วการที่เจ้าอาวาสมีอำนาจล้นฟ้า จะทำให้
4.
การตรวจฉี่เป็นการทำลายภาพลักษณ์ของวัดและสถานของพระภิกษุ หมายถึง
การยอมรับให้ตรวจเป็นภาพลักษณ์ ที่ควรเรียกว่าเป็นความเสื่อมสะสม แปลว่า
พฤติกรรมและการกระทำ หรือเกณฑ์ผ่านพระอุปัชฌาย์ในการบวชลูกหลานเข้ามาล้มเหลาว
ไม่ได้มีประสิทธิ์ภาพหรือประโยชน์มีหน้าที่เพียงบวช หาเงินเข้าพกเข้าหอพระอุปัชฌาย์ไม่ได้มีประโยชน์ต่อพระศาสนาแต่อย่างใด
ภาพลักษณ์ที่ปรากฏจึงเท่ากับว่า เหมือนวัดทั้งวัดติดยา พอข่าวออกไปชาวบ้าน
ก็จะพูดตำรวจมาตรวจฉี่พระ หายาเสพติด หาพระติดม้า จริงหรือไม่จริงไม่รู้แต่ผลที่เกิดขึ้นทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ว่า
พฤติกรรมและการกระทำใด ๆ กลายเป็นภาพลักษณ์ที่สะสมเชิงโครงสร้าง ใครเห็นก็ต้องพูดไปว่า
พระติดยา พระบวชติดยาเสพติด
5.
วินยาธิการ มาจากคำว่า วินย (วินัย) +อธิการ (ความเป็นใหญ่)
หมายความว่า พระวินยาธิการ คือการถือพระธรรมวินัยเป็นใหญ่ แต่เหตุไฉนพระวินยาธิการตามชื่อ
ดังนั้นพระวินยาธิการจะมาด้วยใคร ด้วยใดก็ตามต้องกระทำตามพระธรรมวินัยเป็นสำคัญ
(รวมทั้งพระวินัยธร พระธรรมธร)
ต้องไม่แสดงพฤติกรรมที่แสดงถึงอำนาจบาตรบาตรใหญ่
ทำเป็นนักเลงหัวไม้เสียเอง กร่างเสียเองเข้าไปตรวจ ใช้อำนาจนอกพระธรรมวินัย
กระทำการโดยอุกอาจ แปลว่า เมื่อตรวจแล้วเจอฉี่สี่ม่วงก็ให้จับสึก หรือพิจารณาว่ากล่าวตักเตือน
ทำโทษ แต่จากประสบการณ์ส่วนใหญ่ก็คือทำโทษและให้ลาสิกขาไป บางคนอาจจะบอกว่ามันต้องเอากลุ่มองค์กร
ที่มีความถนัดในการปราบปรามแบบนี้มาช่วยเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการตรวจสอบ
ถามว่าในทางบริหารถูกต้องหรือไม่ ก็ต้องตอบว่าถูก แต่ต้องไปดูว่าการอนุโลมตามบ้านเมือง
ใช้เกณฑ์แค่ไหน
ดังนั้น
การที่เจ้าคณะผู้ปกครอง สมองกลวง บ้าจี้ เอาพระมาตรวจฉี่ทั้งวัด เท่ากับกำลังทำลายองค์กร
เพราะในโรงเรียน ในคุกเขายังไม่ทำกันเลย แล้วเราจะมาตรวจแบบเหมาเข่งแบบนี้เท่ากับเราสร้างตราบาปให้กับวัด
ว่าเป็นวัดยาบ้า ต้องยาเสพติด ถ้าจะสุ่มตรวจ ก็ไม่ได้เพราะเท่ากับเป็นพฤติกรรมและการกระทำที่เอาเปรียบ
และเล่นพรรค เล่นพวก ไม่ได้อีก ดังนั้นการที่เจ้าคณะพระสังฆาธิการกระทำการหรือดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นพฤติกรรมที่ทรามและใช้ไม่ได้
6.
เครื่องมือช่วยผู้ปกครอง แปลว่า พระราชบัญญัติ พระธรรมวินัย
และระเบียบมหาเถรสมาคม ไม่เพียงพอต่อการปกครองคณะสงฆ์ ต่อสังคมแนวใหม่ที่มีความซับซ้อนเกิดขึ้นในระบบสังคมโดยรวม
ดังกรณีการตั้งพระ "วินยาธิการ" จึงทำให้ต้องคิดต่อไปว่า
จริง ๆ แล้วระบบที่เป็นแบบนี้ก่อให้เกิดการขับเคลื่อนอื่น แต่ในเวลาเดียวกันกระบวนของการใช้อำนาจ
ถูกถามถึงเจตนารมณ์แอบแฝง พฤติกรรมที่ฉ้อฉล รวมไปถึงพฤติกรรมและการกระทำที่ไม่โปร่งใส
"กร่าง" จึงเป็นพฤติกรรมและการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ก่อให้เกิดความผิดพลาด
และไม่เป็นประโยชน์ต่อองค์กรพระพุทธศาสนาในภาพรวม
ข้าพเจ้าในฐานะสมาชิกในโครงสร้างของระบบองค์กรแบบท่าน
แต่รู้สึกว่าสิ่งที่พวกท่านทำเป็นเพียงแค่จำอวด เพื่อให้ตัวเองรอดไปวัน
ๆ ไม่ได้มีประโยชน์อันใด หรือก่อให้เกิดการขับเคลื่อนอันใดต่อระบบองค์กรหรือเชิงโครงสร้างของคณะสงฆ์แต่ประการใดไม่
ประเด็นพระวินยาธิการและการตรวจฉี่ข้าพเจ้าคิดอย่างนี้
--------------------------------
http://www.oknation.net/blog/Bansuan/2014/06/19/entry-1
ที่มา.-
http://www.oknation.net/blog/Bansuan/2014/06/19/entry-1
*******************
|