"ภิกษุณีเถรวาทต้องเกิดจากภิกษุณีสงฆ์เถรวาทและพระภิกษุสงฆ์เถรวาท (ทำนองเดียวกับคนต้องเกิดจากของสปีชีรส์ของคน ผสมพันธุ์คนเท่านั้น จะเกิดจากของสปีชีส์ของคนผสมพันธุ์กับพืชหรือของสปีชีรส์ของคนผสมพันธุ์กับสัตว์ประเภทอื่น ย่อมเป็นไปไม่ได้)" สิ่งที่ชาวพุทธควรทำความเข้าใจ
Image

               การสูญพันธุ์ ในทางชีววิทยาและนิเวศวิทยา คือการสิ้นสุดของการดำรงอยู่ของสปีชีรส์หรือกลุ่มของสิ่งมีชีวิต ซึ่งทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพลดลง โดยทั่วไปแล้ว ถือว่า ชั่วขณะของการสูญพันธุ์ คือชั่วขณะความตายของสิ่งมีชีวิตตัวสุดท้ายในสปีชีส์นั้น แม้ว่า ความสามารถในการผสมพันธุ์ และฟื้นตัวอาจจะสูญเสียไปแล้วก่อนหน้านั้นก็ตาม สัตว์โลกที่สูญพันธุ์ไปแล้ว เช่น ไดโนเสาร์ นกโดโด้ ช้างแมมมอธ ฯลฯ สัตว์โลกที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ถึงแม้เราอยากจะให้กลับมามีชีวิตอยู่บนโลกอีกครั้งเหมือนในอดีตก็ทำไม่ได้ ถึงนักวิทยาศาสตร์พยายามจะโคลนนิ่งสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ให้กลับมาอยู่บนโลกอีกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะสัตว์ที่จะโคลนนิ่งได้ต้องมีสัตว์สายพันธุ์ใกล้เคียงมาอุ้มบุญ และให้ไข่ เท่านั้น นี่เป็นกฏของธรรมชาติ

               ภิกษุณี เป็นคำเรียกนักบวชหญิง ในพระพุทธศาสนา คู่กับ ภิกษุ ที่หมายถึงนักบวชชายในพระพุทธศาสนา คำว่า ภิกษุณี เป็นศัพท์ที่มีเฉพาะในพระพุทธศาสนา โดยเป็นศัพท์บัญญัติที่ใช้เรียกนักบวชหญิงในพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะ ไม่ใช้เรียกนักบวชในศาสนาอื่น

                ภิกษุณี (รูปเดียว) หรือ ภิกษุณีสงฆ์ (ตั้งแต่ 4 รูป ขึ้นไป) จัดตั้งขึ้นโดยพระบรมพุทธานุญาต ภิกษุณีรูปแรกในพระพุทธศาสนาคือพระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรี โดยวิธีรับคุรุธรรม 8 ประการ ในคัมภีร์เถรวาทระบุว่า ต่อมาในภายหลังพระพุทธเจ้าได้ทรงอนุญาตวิธีการอุปสมบทภิกษุณีให้มีรายละเอียดเพิ่มมากขึ้น จนศีลของพระภิกษุณีมีมากกว่าพระภิกษุ โดยพระภิกษุณีมีศีล 311 ข้อ ในขณะที่พระภิกษุมีศีลเพียง 227 ข้อเท่านั้น เนื่องจากในสมัยพุทธกาลไม่เคยมีศาสนาใดอนุญาตให้ผู้หญิงเข้ามาเป็นนักบวชมาก่อน และการตั้งภิกษุณีสงฆ์ควบคู่กับภิกษุสงฆ์ อาจเกิดข้อครหาที่จะเป็นอันตรายร้ายแรงต่อการประพฤติพรหมจรรย์และพระพุทธศาสนาได้ หากได้บุคคลที่ไม่มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนาเข้ามาเป็นนักบวช

               ภิกษุณีสายเถรวาทซึ่งสืบวงศ์มาแต่สมัยพุทธกาลด้วยการบวชถูกต้องตามพระวินัยปิฎกเถรวาท ที่ต้องบวชในสงฆ์สองฝ่ายคือทั้งภิกษุสงฆ์ และภิกษุณีสงฆ์ ได้ขาดสูญวงศ์ (ไม่มีผู้สืบต่อ) มานานแล้ว คงเหลือแต่ภิกษุณีฝ่ายมหายาน (อาจริยวาท) ที่ยังสืบทอดการบวชภิกษุณีแบบมหายาน (บวชในสงฆ์ฝ่ายเดียว) มาจนปัจจุบัน ซึ่งจะพบได้ในจีน, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น

               ปัจจุบันมีการพยายามรื้อฟื้นการบวชภิกษุณีในฝ่ายเถรวาท โดยทำการบวชมาจากภิกษุณีมหายาน และกล่าวว่าภิกษุณีฝ่ายมหายานนั้น สืบวงศ์ภิกษุณีสงฆ์มาแต่ฝ่ายเถรวาทเช่นกัน แต่มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าฝ่ายมหายานมีการบวชภิกษุณีสืบวงศ์มาโดยมิได้กระทำถูกตามพระวินัยปิฎกเถรวาท และมีศีลที่แตกต่างกันอย่างมากด้วย ทำให้มีการไม่ยอมรับภิกษุณี (เถรวาท) ใหม่ ที่บวชมาแต่มหายานว่า มิได้เป็นภิกษุณีที่ถูกต้องตามพระวินัยปิฎกเถรวาท และมีการยกประเด็นนี้ขึ้นเป็นข้ออ้างว่าพระพุทธศาสนาจำกัดสิทธิสตรีด้วย ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะพระพุทธเจ้าได้อนุญาตให้มีภิกษุณีที่นับเป็นการเปิดโอกาสให้มีนักบวชหญิงเป็นศาสนาแรกในโลก เพียงแต่การสืบทอดวงศ์ภิกษุณีได้สูญไปนานแล้ว จึงทำให้ในปัจจุบันไม่สามารถบวชสตรีเป็นภิกษุณีตามพระวินัยเถรวาทได้หากใครฝืนทำลงไปก็ผิดวินัยบัญญัติ ก็เป็นการโกงพระพุทธเจ้าอย่างหน้าด้าน ๆ ก่อให้เปิดบาปกรรมติดตัว มีทุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้าทั้งนั้น ไม่ได้ติดขัดที่รัฐธรรมนูญ กฎหมาย คำสั่ง ระเบียบ หรือหลักเกณฑ์ใด ๆ ทั้งสิ้น

               "กฎหมายออกโดยอำนาจนิติบัญญัติ จะเลิกไปก็โดยอำนาจนิติบัญญัติ… พระวินัย(ศีล) บัญญัติโดยพระพุทธเจ้า จะเลิกไปก็โดยพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์(ตามที่พระพุทธองค์ตรัสอนุญาตไว้ในมหาปรินิพพานสูตร)เท่านั้น (แต่พระสงฆ์ก็สงวนสิทธิ์ ไม่แก้ไข ไม่ยกเลิก)" คนอื่นจะมาบัญญัติพระวินัยให้พระหรือจะยกเลิกพระวินัยเองตามใจชอบ หรือจะจะพูดเองเออเอง ก็หาถูกต้องด้วยพระธรรมวินัยไม่ รังแต่จะเป็นบาปกรรมสำหรับผู้กระทำและผู้สนับสนุนเท่านั้น

               หลังจากทำปฐมสังคายนาเสร็จ พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ ได้มีมติร่วมกันว่าต่อไปภายหน้าจะไม่เพิกถอน ไม่แก้ไขสิกขาบท (พระวินัย) ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ดีแล้ว และพระสงฆ์ก็ประพฤติปฏิบัติตามมติของพระอรหันต์เหล่านั้นจนกระทั่งปัจจุบัน .. (ภายหลังเรียกนิกายเถรวาท) ... การบวชภิกษุณีก็อยู่ในวินัย เมื่อภิกษุณี ในนิกายของเรา(เถรวาท/หินยาน) หมดไปจากโลกนานแล้วครับเพราะขาดการสืบต่อ (ในนิกายเถรวาท/หินยาน หลังจาก พ.ศ. ๓๒๕ เป็นต้นมา ไม่มีคนบวชเป็นภิกษุณี จึงทำให้ขาดศาสนาทายาทส่วนนี้ ภิกษุณีสงฆ์ และอุปัชฌาย์ภิกษุณี(เรียกปวัตตีนี) ก็พลอยขาดไปด้วย เมื่อมีภิกษุณีสงฆ์ จึงไม่มีผู้ให้การบรรพชาอุปสมบทกุลบุตรีให้เป็นภิกษุณี.. ทั้งๆที่เราเองก็ไม่อยากให้ภิกษุณีบริษัทสูญหาย .. แต่ความอยาก ความฝัน กับความเป็นจริงมันไปกันไม่ได้ เราจึงต้องยอมรับสภาพความเป็นจริง.. พูดง่ายๆ ไม่มีแม่(ภิกษุณีสงฆ์) ลูก (ภิกษุณี)ก็เกิดไม่ได้) ครั้นจะบัญญัติหรือยกเลิกพระวินัยตามใจชอบ(เพื่อจะได้บวชภิกษุณี) หาถูกต้องด้วยพระธรรมวินัยไม่ รังแต่จะเป็นบาปกรรมเท่านั้น ... และที่สำคัญ พระพุทธเจ้าตรัสให้พระธรรมวินัยเป็นศาสดาแทนพระองค์ ดังนั้นใครบังอาจบัญญัติหรือยกเลิกพระวินัยตามใจชอบ (รวมทั้งผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง) จึงถือว่าเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา เป็นบาปมหันต์ มิใช่ส่งเสริมศาสนาแม้แต่น้อย แต่แท้ที่จริงแล้วคือการลวงโลก และเป็นการทำลายศาสนาพุทธอย่างหน้าด้านที่สุด ดังนั้น การที่มหาเถรสมาคมลงมติดังกล่าว จึงชอบด้วยพระธรรมวินัยทุกประการ..

               พระวินัยบัญญัติ ที่ปรากฏใน "ภิกขุนีขันธกะ พระวินัยปิฎก ในพระไตรปิฎก กำหนดไว้ว่าผู้หญิงทั่วไปที่อายุยังไม่ครบ 20 ปีสามารถเข้ารับบรรพชาเป็นสามเณรี และเมื่ออายุได้ 18 ปี ให้บวชเป็นสิขมานาผู้รักษาศีล 6 ข้อ ซึ่งจะขาดไม่ได้แม้แต่ข้อเดียวเป็นเวลา 2ปี จนมีอายุครบ 20 ปี จึงจะสามารถอุปสมบทเป็นภิกษุณีจากอุภโตสงฆ์ คือ คณะสงฆ์ 2 ฝ่าย ได้แก่ ภิกษุณีสงฆ์ และภิกษุสงฆ์ เฉพาะในนิกายเถรวาท ปัจจุบันภิกษุณีในพระพุทธศาสนาเถรวาทได้ขาดสูญไปแล้ว การบรรพชาสามเณรีและการอุปสมบทภิกษุณีโดยภิกษุสงฆ์ฝ่ายเถรวาทเพียงฝ่ายเดียวจึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องพระวินัย

                "ความเป็นพระภิกษุ สามเณร ภิกษุณี เกิดขึ้นเพราะพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ ไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ระเบียบ หรือสิทธิเสรีภาพใดทั้งสิ้น" นี่คือคีย์เวิร์ดที่เราชาวพุทธควรตระหนัก

               ภิกษุณีสงฆ์ประดิษฐานในลังกาทวีป ในรัชการของพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ โดยพระสังฆมิตตาเถรี พระราชธิดาของพระเจ้าอโศกมหาราช เดินทางจากชมพูทวีปมาประกอบอุปสมบทกรรมแก่นางอนุฬาเทวี ชายาของพระเจ้ามหานาค อนุชาของพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ พร้อมด้วยสตรีอื่นอีก ๑,๐๐๐ คน ภิกษุณีสงฆ์เจริญรุ่งเรืองในลังกาทวีปยาวนานไม่น้อยกว่า ๑,๐๐๐ ปี แต่ในที่สุดได้สูญสิ้นไป ตั้งแต่รัชสมัยของพระเจ้าวิชัยพาหุ ปัจจุบันคณะสงฆ์และรัฐบาลศรีลังกาก็ไม่ได้รับรองสถานภาพของภิกษุณีในศรีลังกา ด้วยเหตุผลที่ว่าภิกษุณีสงฆ์เถรวาทได้ขาดสูญไปนานแล้ว การนำภิกษุและภิกษุณีสงฆ์มหายานจากเกาหลีและไต้หวันมาร่วมอุปสมบทแก่ภิกษุณีเถรวาทที่อินเดีย ย่อมทำให้สังฆกรรมนั้นวิบัติ หรือไม่เป็นผลสำเร็จ ไม่เป็นภิกษุณี ต่อให้บวชสักกี่รอบก็ตามผู้ที่ผ่านการบวชก็ไม่เป็นภิกษุณี ต่อให้ผ่านพิธีเสร็จ ก็ไม่เป็นภิกษุณี "ภิกษุณีเถรวาทต้องเกิดจากภิกษุณีสงฆ์เถรวาทและพระภิกษุสงฆ์เถรวาท เท่านั้น" ทำนองเดียวกับคน ต้องเกิดจากเผ่าพันธ์/ดีเอ็นเอของคนผสมพันธุ์คนเท่านั้น จะเกิดจาก ดีเอ็นเอของคนผสมพันธุ์พืชหรือ ดีเอ็นเอของคนผสมพันธุ์สัตว์ประเภทอื่นย่อมเป็นไปไม่ได้ นี่คือกฎของธรรมชาติที่เราฝืนไม่ได้

               สมัยหนึ่ง ภิกษุสงฆ์เถรวาทได้สูญสิ้นไปจากประเทศศรีลังกา ต่อมาปี พ.ศ.๒๒๙๓ พระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะ กษัตริย์ศรีลังกามีความศรัทธาแรงกล้าที่จะฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้กลับคืนสู่ศรีลังกาอีกครั้ง จึงได้ส่งราชทูตมายังกรุงศรีอยุธยา ซึ่งใน พ.ศ. ๒๒๙๕ ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แห่งกรุงศรีอยุธยา พระองค์ได้จัดส่งพระสงฆ์ไทย โดยมีพระอุบาลีเถระและพระอริยมุนีเถระเป็นหัวหน้าไปให้บรรพชาอุปสมบทแก่กุลบุตรชาวศรีลังกาให่เป็นพระภิกษุฟื้นฟูศาสนา โดยประเทศศรีลังกาเรียก "คณะสงฆ์นิกายสยามวงศ์" จนกระทั่งปัจจุบัน ... สรุปก็คือ "ภิกษุสงฆ์เถรวาทเท่านั้นจึงจะบวชกุลบุตรเป็นพระภิกษุเถรวาทได้" พระภิกษุสงฆ์เถรวาทและมหายานจะร่วมกันบวชกุลบุตรให้เป็นพระภิกษุเถรวาท ก็ไม่เป็นพระได้โดยสมบูรณ์ เพราะความไม่เสมอกันแห่งศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา ฯลฯ จึงเป็นต้นเหตุ "สังฆกรรมวิบัติ" และพระภิกษุทุกรูปที่ร่วมทำสังฆกรรม ก็จะเป็นอาบัติและบาปกันถ้วนหน้าอีกด้วย และที่สำคัญ "สังฆกรรมยังโกง/โกหกพระพุทธเจ้าอย่างหน้าด้านๆ ได้ แล้วไฉนความชั่วชนิดอื่นจะทำไม่ได้ ???"

               พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในสังยุตตนิกาย สคาถวรรค เทวปุตตสังยุตต์ ปฐมวรรค ตายนสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ ข้อ ๒๓๙ (พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๗) ว่า "กุโส ยถา ทุคฺคหิโต หตฺถเมวานุกนฺตติ, สามญฺญํ ทุปฺปรามฏฺฐํ นิรยายูปกฑฺฒติ. หญ้าคาอันบุคคลจับไม่ดี ย่อมบาดมือนั่นเอง ฉันใด, ความเป็นสมณะ อันบุคคลปฏิบัติไม่ดี ย่อมฉุดเข้าไปในนรกฉันนั้น."

               ในมหาปรินิพพานสูตร พระพุทธเจ้าตรัสสั่งไว้ว่า "ธรรมก็ดี วินัยก็ดีอันใด ที่เราได้แสดงไว้แล้ว บัญญัติไว้แล้ว, ธรรมะและวินัยนั้นแล จักเป็นศาสดาของท่านทั้งหลายโดยกาลเป็นที่ล่วงไปแห่งเรา" ขณะเดียวกัน ในสัตตกนิบาต อังคุตตรนิกาย พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ ข้อ ๒๑ พระพุทธเจ้าตรัสอปริหานิยธรรม ธรรมไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม เป็นไปเพื่อความเจริญฝ่ายเดียว ข้อความตอนหนึ่งว่า "๓.ไม่บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติขึ้น ไม่ถอนสิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้แล้ว สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบทตามที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ และ ๔.ภิกษุเหล่าใดเป็นผู้ใหญ่เป็นประธานในสงฆ์ เคารพนับถือภิกษุเหล่านั้น เชื่อฟังถ้อยคำของท่าน" นั้น

               พระภิกษุ จะเป็นพระภิกษุสามเณรธรรมดา หรือพระสังฆาธิการระดับใด มียศฐาบรรดาศักดิ์ใดก็ตาม จะเรียนจบนักธรรม บาลี หรือปริญญาระดับใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่จะต้องประพฤติปฏิบัติอยู่ภายใต้พระธรรมวินัยเดียวกัน หากทำผิดก็ผิด ไม่มีข้อยกเว้น ครับ... "กุโส ยถา ทุคฺคหิโต หตฺถเมวานุกนฺตติ, สามญฺญํ ทุปฺปรามฏฺฐํ นิรยายูปกฑฺฒติ. หญ้าคาอันบุคคลจับไม่ดี ย่อมบาดมือนั่นเอง ฉันใด, ความเป็นสมณะ อันบุคคลปฏิบัติไม่ดี ย่อมฉุดเข้าไปในนรกฉันนั้น."

               หากเราชาวพุทธไม่ใส่ใจพระดำรัสที่พระพุทธเจ้าได้แสดงไว้แล้ว และบัญญัติไว้แล้ว มิหนำซ้ำทำ พูด คิด ตามใจชอบ นอกเหนือจากที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ พระธรรมวินัยใดที่ขัดต่อความต้องการละความรู้สึกแล้วไม่นำพา แต่จะทำเอง พูดเอง คิดเอง เออเอง ตัดสินแบบข้าง ๆ คูๆ ตามใจ ตามกิเลสของตัวเองและพวกพ้องแล้ว จะมีคุณความดีอะไรให้มองเห็น จะมีคุณความดีอะไรให้สรรเสริญ

               ประเด็นที่ควรตระหนักก็คือ หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้วไม่นาน พระมหากัสสปเถระ ได้ประชุมสงฆ์ซึ่งล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ เพื่อร่วมกันทำสังคายนาพระธรรมและวินัย โดยก่อนทำปฐมสังคายนา เหล่าพระภิกษุสงฆ์องค์พระอรหันต์ได้พร้อมใจกันปรับอาบัติพระอานนท์ ผู้บรรลุพระอรหันต์แล้ว รวม ๕ ข้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ข้อที่ ๕ ถือว่าพระอานนท์มีความผิด ที่ขวนขวายให้สตรีเข้ามาบวชเป็นภิกษุณีในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว" โดยพระอานนท์ให้เหตุผลต่อพระสงฆ์ว่า "ที่ทำเช่นนั้น เพราะเห็นว่าพระนางมหาปชาบดี ทรงเป็นผู้ประคับประคองเลี้ยงดู ทรงประทานขีรธาราแก่พระสิทธัตถะ หลังจากที่พระพุทธมารดาทิวงคต ไม่เห็นว่าจะเป็นความผิด" ถึงแม้พระอานนท์เถระจะนำเหตุผลกล่าวแก่ที่ประชุมสงฆ์ แต่เมื่อที่ประชุมสงฆ์เห็นว่าเป็นอาบัติ พระอานท์ก็ยอมรับและแสดงอาบัติต่อสงฆ์ คำพิพากษาวินิจฉัยของพระสงฆ์ถือเป็นคำเด็ดขาด ถึงแม้จะเห็นว่าตนไม่ผิด แต่เมื่อสงฆ์เห็นว่าผิด ต้องเคารพสงฆ์ เคารพยำเกรงพระเถระผู้ใหญ่ เคารพยำเกรงต่อพระธรรมวินัยคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่ตรัสมอบให้พระสงฆ์เป็นใหญ่ในกิจการพระพุทธศาสนา ที่พุทธบริษัทจะต้องถือปฏิบัติตาม ... ซึ่งต่างจากคนผู้เก่งกาจในยุคนี้นอกจากไม่เคารพยำเกรงต่อพระสงฆ์ ต่อพระมหาเถระแล้ว ยังไม่เคาระพระธรรมวินัย ไม่เคารพพระพุทธเจ้า จนถึงกลับกล้าเอากฎหมาย รัฐธรรมนูญ และสิทธิมนุษยชนยกขึ้นให้สูงกว่าพระธรรมวินัยซึ่งเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อที่จะให้คนได้บวชเป็นภิกษุณี ... อ้างสิทธิสตรี สิทธิเสรีภาพ โดยมิได้ใส่ใจพุทธบัญญัติ ... อ้างตนเองเป็นภิกษุณี แต่ไม่เคารพพระสงฆ์ ไม่ทำตามพระพุทธบัญญัติ โดยไม่เกรงกลัวต่อบาปกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ช่างน่าสังเวชสลดใจยิ่งนัก

 

                "บ้านมีกฏบ้าน วัดมีกฏวัด" ... อำนาจ หน้าที่ และความรับรับชอบของฝ่ายราชอาณาจักร เมื่อประชาชนทำผิดกฎหมายกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๖(ดูหมิ่นมหาเถรสมาคมซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน, มาตรา ๒๐๘(แต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ ฯลฯ), ผิดพรบ.คณะสงฆ์ฯ มาตรา ๔๒ (ไม่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นอุปัชฌาย์ตามกฎหมาย กระทำการบรรพชาอุปสมบท), มาตรา ๔๔ ตรี (ใส่ความคณะสงฆ์) ฯลฯ เป็นอำนาจ หน้าที่ และความรับผิดชอบของเจ้าพนักงานของรัฐต้องดำเนินการ แล้วไฉนเจ้าหน้าที่ของรัฐจึงไม่ดำเนินการตามกฎหมาย ?? มิใช่แต่เท่านั้น นอกจากไม่ดำเนินการตามกฎหมายแล้ว "ยังด้านเสนอหน้าออกมาทวงถามหาความชอบธรรมของฝ่ายศาสนจักรซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยชอบ" รึว่าขณะนี้ กฎหมายไม่สามารถบังคับใช้แล้ว และคำ "หลักนิติรัฐ หลักนิติธรรม และธรรมาภิบาล" เป็นได้แค่คำพูดที่สวยหรูสำหรับให้เล่นวาทกรรมกันเท่านั้นหรือ ???

               อีกประเด็นหนึ่ง พระและคนต่างชาติ เข้าเมืองมาโดยถูกกฎหมายหรือไม่ จะยศถาบรรดาศักดิ์และมีตำแหน่งสูงใหญ่สักเพียงใด ก็ไม่มีสิทธิ์ละเมิดกฎหมาย ประเพณี วัฒนธรรมของไทย และไม่ได้รับเอกสิทธิเหมือนพระไทย... และเช่นเดียวกัน หากพระไทยไปต่างประเทศ มิว่าจะเข้าเมืองโดยถูกต้องหรือไม่ ก็ไม่มีสิทธิ์ละเมิดกฎหมาย ประเพณี วัฒนธรรมของต่างชาติ และไม่ได้รับเอกสิทธิเหมือนเจ้าของประเทศ … หากพระไทยไปทำเช่นนี้ในต่างประเทศ จะถูกต่างชาติปฏิบัติต่อพระอย่างรุนแรง มีโทษสูงอย่างยิ่ง และจะนำเข้าคุกทั้งชุดโดยไม่ต้องลาสิกขาก่อน ต่างจากไทยเราปฏิบัติต่อต่างชาติโดยสิ้นเชิง

               สิ่งควรตั้งข้อสังเกตเป็นพิเศษก็คือ "การบวชภิกษุณีในนิกายมหายาน เช่น ในจีน ธิเบต ญี่ปุ่น ฯลฯ เขาพร้อมให้บวชได้เสมอ (แต่ต้องนุ่งห่ม และทำตามพระวินัย กฏ กติกา ระเบียบของเขา จะนุ่งห่ม ฯลฯ ตามแบบเถรวาทไม่ได้) เพราะมีภิกษุณีสงฆ์ครบบริบูรณ์ .. ทำไมจึงไม่ไปบวช เหตุผลใดจึงเจาะจงบวชในนิกายเถรวาททั้ง ๆ ที่ไม่มีภิกษุณีสงฆ์ทำการบวชให้" มีอะไรลึก ๆ อยู่ภายใน หรือมีอะเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรหรือเปล่า ??? เป็นกระเด็นที่เราชาวพุทธผู้รักพระพุทธศาสนาและเคารพพระรัตนตรัยควรฉุกคิด...!!!

-----------------------------
........... ปณิธาน/อนุญาตแชร์ได้ : ทุกข้อความ ทุกภาพประกอบที่ปรากฏในเฟชนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ข้าพเจ้า(พระมหาบุญโฮม วัดท่าไทร) ขอมอบให้เป็นสมบัติสาธารณะ โดยทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน ท่านที่ต้องการแชร์ ขอเชิญตามอัธยาศัย (โดยไม่ต้องขออนุญาตอีก) ขออนุโมทนาบุญ ขอให้ได้รับบุญกุศลจากการเผยแพร่ธรรมะด้วยกัน ขอให้มีความสุข ความเจริญรุ่งเรือง ทั้งชาตินี้และชาติหน้าโดยทั่วกัน สาธุๆๆ

กลับไปหน้า Web วัดท่าไทร
ไป Web ศูนย์พัฒนาคุณธรรมภาคใต้
ไป Web วิทยุชุมชนตำบลท่าทองใหม่
ไป Web ชมรมวีอาร์ร้อยเกาะสุราษฎร์ธานี