ในหนังสือพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ชุดคำวัด
โดย พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ราชบัณฑิต) สมณศักดิ์ปัจจุบันคือ
พระมหาโพธิวงศาจารย์ หน้า ๑๑๖๕ ทั้งเล่มมี ๑๕๐๓ หน้า พระเดชพระคุณท่านได้กล่าวไว้ว่า..
ข้าวพระ
คือ ข้าวที่จัดถวายพระพุทธ เรียกเต็มว่า ข้าวพระพุทธ
การถวายข้าพระเลียนแบบมาแต่สมัยพุทธกาล
คือในสมัยนั้นชาวพุทธนิยมเสี้ยงพระสงฆ์ที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วและมีประเพณีสร้างพระพุทธรูปกันแล้ว
เวลาทำบุญเลี้ยงพระจึงจัดที่ตั้งพระพุทธรูปไว้ด้วย เพื่อแสดงว่ายังมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
และนิยมจัดอาหารถวายพระพุทธรูปด้วย
การถวายข้าวพระพุทธ
เป็นการบูชาพระพุทธเจ้าด้วยอาหารเหมือนบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียน มิใช่ถวายเพื่อให้พระพุทธเจ้าเสวย
หรือเป็นการเช่นไหว้พระพุทธเจ้า
ข้าวพระ
ในการถวาย มีคำกล่าวถวายและคำลาโดยเฉพาะ.. โดยคำถวายข้าวพระพุทธ ว่า
"อิมัง สูปะพะยัญชนะสัมปันนัง สีลีนัง โอทะนัง อุทะกัง วะรัง
พุทธัสสะ ปูเชมิ"
--------------------------
นั่นคือ ข้อมูลและคำอธิบายอย่างย่อ
ๆ เบื้องต้นที่พระเดชพระคุณได้เขียนเอาไว้ แต่เพื่อจะได้เข้าใจอย่างละเอียดแจ่มแจ้ง
ติดตามอ่านต่อไปครับ
เหตุผลในการจัดข้าวบูชาพระพุทธ
:
ในพิธีทำบุญเลี้ยงพระนี้
มีโบราณประเพณีที่เรียกว่า ประเพณีถวายข้าวพระพุทธ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
การจัดข้าวบูชาพระพุทธ หมายถึง การบูชาพระพุทธเจ้าด้วยข้าวและอาหารอื่นๆ
โดยถือสืบกันมาว่า สมัยพุทธกาล พุทธศาสนิกชนทั้งหลายนิยมนิมนต์พระพุทธเจ้าทรงเป็นประธานพระภิกษุสงฆ์
เสด็จไปฉันภัตตาหาร ณ เคหสถานของตนตามหลักฐานที่ปรากฏในพระบาลีว่า
"พุทฺธปฺปมุโข ภิกฺขุสงฺโฆ : พระภิกษุสงฆ์มี พระพุทธเจ้าเป็นประธาน"
เมื่อถึงเวลาถวายภัตตาหาร ก็นิยมจัดภัตตาหารถวายแด่พระพุทธเจ้าเป็นพิเศษส่วนหนึ่ง
เช่นเดียวกับปัจจุบันที่นิยมกราบทูลสมเด็จพระสังฆราช เสด็จไปเป็นประธานสงฆ์ในพิธีทำบุญงานมงคลตามบ้านเรือนคฤหบดี
เมื่อถึงเวลาถวายภัตตาหาร ก็นิยมจัดภัตตาหารถวายสมเด็จพระสังฆราชเป็นพิเศษส่วนหนึ่ง
และจัดภัตตาหารถวายพระภิกษุสงฆ์นอกนั้นอีกส่วนหนึ่ง ฉะนั้น ถึงแม้พระพุทธเจ้าจะได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว
พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ก็ยังนิยมอัญเชิญพระพุทธรูปมาตั้งเป็นประธานสงฆ์แทนพระพุทธองค์ในพิธีบำเพ็ญบุญต่างๆ
ทุกอย่าง เช่นเดียวกันกับสมัยพุทธกาล
ดังนั้น
เมื่อถึงเวลาถวายภัตตาหาร จึงนิยมจัดภัตตาหารถวายพระพุทธรูปเป็นพิเศษส่วนหนึ่ง
และจัดภัตตาหารถวายพระภิกษุสงฆ์อีกส่วนหนึ่งเช่นเดียวกับสมัยพุทธกาล
คตินี้ได้นิยมสืบทอดกันมา ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า ถวายข้าวพระพุทธ ถ้ามีการตักบาตรก็ต้องตั้งบาตรพระพุทธเจ้าไว้หัวแถวด้วย
ชาวพุทธพึงตระหนักว่า
การจัดภัตตาหารถวายพระพุทธรูปนี้
มิใช้จัดไปถวายพระพุทธรูปฉันเหมือนอย่างจัดถวายให้พระภิกษุสงฆ์ฉัน
หรือไม่ใช่จัดไปเซ่นพระพุทธเจ้าเหมือนอย่างจัดอาหารไปเซ่นภูตผีปีศาจ
การจัดภัตตาหารไปถวายพระพุทธรูปนั้น เป็นการจัดไปถวายเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า
เช่นเดียวกับการจัดเครื่องสักการบูชาพระรัตนตรัย มีดอกไม้ ธูป เทียน
เป็นต้น และการจัดเครื่องสักการบูชาพระรัตนตรัยนั้น ไม่ใช่จัดถวายให้พระรัตนตรัยสูดดมกลิ่นธูป
ควันเทียน และกลิ่นหอมของดอกไม้ แต่จัดไปเพื่อบูชาพระคุณของพระรัตนตรัย
ฉันใด การจัดภัตตาหารถวายพระพุทธรูปก็เพื่อบูชาพระคุณของพระพุทธเจ้า
ฉันนั้น และเมื่อลากลับคืนมา ภัตตาหารนั้นย่อมเป็นสิริมงคลน่ารับประทานนักแล
ในพิธีทำบุญเลี้ยงพระ
นิยมถวายข้าวพระพุทธ คือ จัดอาหารทุกอย่างเหมือนกับที่ถวายพระสงฆ์
(ไม่ควรจัดเป็นชุดเล็ก ๆ เหมือนกับที่จัดอาหารเซ่นผี) เสร็จแล้วพึงวางไว้บนโต๊ะหรือบนผ้าขาวที่สะอาดหน้าโต๊ะหมู่บูชา
จุดธูป ๓ ดอกในกระถางธูปหน้าพระพุทธรูป นั่งคุกเข่าประนมมือกล่าวคำนมัสการว่า
"นะโม ตัสสะ
.." ว่า ๓ จบ เสร็จแล้วกล่าวคำถวายข้าวพระพุทธว่า
"อิมัง สูปะพะยัญชนะสัมปันนัง สีลีนัง โอทะนัง อุทะกัง วะรัง
พุทธัสสะ ปูเชมิ ข้าพเจ้าขอบูชาด้วยโภชนะข้าวสาลี พร้อมด้วยแกงกับและน้ำอันประเสริฐนี้แด่พระพุทธเจ้า".
การกล่าวคำบูชานี้ จะว่าโดยออกเสียงดัง หรือว่าในใจโดยไม่ต้องออกเสียงก็ได้
จบแล้วกราบ ๓ ครั้ง ต่อนั้นจึงจัดถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์
และเมื่อพระสงฆ์ฉันเสร็จแล้ว
เจ้าภาพ พิธีกร หรือผู้อื่นก็ได้ พึงกราบพรพุทธรูป ๓ ครั้ง แล้วประนมมือกล่าวคำลาข้าวพระพุทธว่า
"เสสัง มังคะลา ยาจามิ หรือจะกล่าวว่า เสสัง มังคะลัง ยาจามิ
มิ. ข้าพระพุทธเจ้าทูลขอสิ่งที่เหลือจากพระพุทธเจ้าผู้เป็นมงคล / ข้าพระพุทธเจ้าทูลขอสิ่งที่เหลืออันเป็นมงคล"
ก็ได้ เสร็จแล้วกราบ ๓ ครั้งและยกภาชนะข้าวพระพุทธออกไป"
เมื่ออ่านมาถึงจุดนี้แล้ว
เชื่อแน่เหลือเกินว่า หากมีการทำบุญในวันข้างหน้า พวกเราชาวพุทธจะสามารถจัดข้าวพระพุทธได้อย่างถูกต้อง
และจัดถวายข้าวพระพุทธเพื่อบูชาพระพุทธเจ้าด้วยจิตใจเคารพ เอื้อเฟื้อและได้บุญกุศลอย่างเต็มที่และแท้จริง
ครับ
----------------------------
เครดิต : ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
(ซึ่งจำชื่อเว็บไซต์ดังกล่าวและวัน เดือน ปี เวลาที่สืบค้นไม่ได้แล้ว)
ขออนุโมทนาเจ้าของภาพไว้ ณ ที่นี้
ที่มา.- เฟชวัดท่าไทร
https://www.facebook.com/watthasai/posts/503979466403757
สืบค้นเมื่อ 1ส.ค.2559 เวลา 10.20 น.
*******************
|