วันเข้าพรรษา
   
พระราชปริยัติบดี (เอื้อน หาสธมโม ป.ธ.๙,Ph.D.)
วัดสามพระยา กรุงเทพฯ
****************************************************************
ประเพณีการเข้าพรรษาในทางพระพุทธศาสนาที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาตแก่พระสงฆ์นั้น
มีประวัติความเป็นมาโดยสังเขปว่า
ประเพณีของคนอินเดียในสมัยโบราณ เมื่อถึงฤดูฝน ฝนตกชุก น้ำมักจะท่วม เป็นอุปสรรคสำหรับชน
ผู้สัญจรไปมาในระหว่างเมือง เช่น พวกพ่อค้าก็พากันหยุดกิจในฤดูฝนนี้ เพราะไม่สะดวกในการเดินทาง พวกนักบวชภายนอกพระพุทธศาสนา ก็พากันหยุดพัก ณ ที่ใดที่หนึ่งตลอดฤดูฝนนี้
เมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระองค์ทรงจาริกไปในบ้าน นิคม ชนบท
ราชธานี น้อยใหญ่เพื่อประกาศพระศาสนา ในกาลเริ่มต้นภิกษุยังมีน้อย เมื่อถึงฤดูฝนพระองค์พร้อมด้วยภิกษุทั้งหลาย
ทรงหยุดพัก ณ เมืองใดเมืองหนึ่งตลอดฤดูฝน เมื่อฤดูฝนผ่านพ้นไปแล้ว จึงได้เสด็จจาริกประกาศพระศาสนาต่อไป นี้จัดเป็นพุทธจริยาวัตร และพระองค์ยังมิได้บัญญัติให้พระสงฆ์อยู่จำพรรษา ความติฉินนินทาอันใดก็มิได้เกิดมี
ครั้นจำเนียรกาลผ่านมากุลบุตรทั้งหลายผู้ทีได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระองค์และเกิดศรัทธาเลื่อมใส
ได้ทูลขอบรรพชาอุปสมบทมากขึ้น ภิกษุก็มีปริมาณมากขึ้นโดยลำดับ
สมัยหนึ่ง พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่กรุงราชคฤห์ พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ (ภิกษุ ๖ รูป) เมื่อถึงฤดูฝนแล้ว
ก็มิได้หยุดพัก ยังเทียวสัญจรไปมาในบ้าน นิคม ชนบท และราชธานีน้อยใหญ่ เหยียบข้าวกล้าระบัดเขียวให้เกิดความเสียหาย ทำให้สัว์ตัวเล็กน้อยตาย เพราะการไม่รู้จักกาลเทศะของท่านเหล่านั้น ประชาชนจึงพากันติเตียนว่า “ไฉนเล่า พระสมณศากยบุตรจึงเที่ยวไปมาอยู่ทุกฤดูกาล เหยียบข้าวกล้าและติณชาติให้ได้รับความเสียหาย ทำให้สัตว์เล็กน้อยตาย ? พวกเดียรถีย์และปริพพาชกเสียอีกยังพากันหยุดพักในฤดูฝน ถึงนกยังรู้จักทำรังที่กำบังฝนของตน”
พระพุทธองค์ได้ทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงทรงบัญญัติเป็นธรรมเนียมให้พระสงฆ์อยู่จำพรรษาตลอด ๓ เดือน
ในฤดูฝน ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ไปจนถึงกลางเดือน ๑๑ ห้ามมิให้เที่ยวสัญจรไปมา ต้องอยู่ประจำที่
วันเข้าพรรษาที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาตไว้มีอยู่ ๒ วัน คือ
๑.ปุริมิกาวัสสูปนายิกา คือ วันเข้าพรรษาแรก
ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ไปจนถึงวันเพ็ญ กลางเดือน ๑๑
๒.ปัจฉิมมิกาวัสสูปนายิกา คือ วันเข้าพรรษาหลัง
ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ ไปจนถึงวันเพ็ญกลางเดือน ๑๒
ภิกษุเข้าพรรษาแล้ว หากมีกิจธุระจำเป็นอันชอบด้วยพระวินัย พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาตให้ไปได้ แต่จะต้องกลับมา ยังสถานที่เดิมภายใน ๗ วัน พรรษาไม่ขาด ที่เรียกว่า “สัตตาหกรณียะ”
เหตุที่ทรงอนุญาตให้ไปได้ด้วยสัตตาหกรณียะนั้นมี ๔ อย่างดังต่อไปนี้
๑.สหธรรมิกหรือมารดาบิดาเจ็บไข้ รู้เข้าไปเพื่อรักษาพยาบาล
๒.สหธรรมิกกระสันจะสึก รู้เข้าไปเพื่อห้ามปราม
๓.มีกิจสงฆ์เกิดขึ้น เช่น วิหารชำรุดลงในเวลานั้น ไปเพื่อหาเครื่องทัพพสัมภาะมาปฏิสังขรณ์
๔.ทายกต้องการบำเพ็ญบุญกุศลส่งคนมานิมนต์ ไปเพื่อบำรุงศรัทธาของเขาได้
แม้ธุระอื่นนอกจากนี้ที่เป็นกิจจลักษณะอนุโลมเข้าในข้อนี้ด้วย
ในเวลาจำพรรษาเมื่อมีอันตรายเกิดขึ้นจะอยู่ต่อไปไม่ได้ และไปเสียจากที่นั้น พรรษาขาด
แต่ท่านไม่ปรับอาบัติ (ไม่เป็นอาบัติ) มีดังนี้ คือ.-
๑.ถูกสัตว์ร้าย โจร หรือปีศาจเบียดเบียน
๒.เสนาสนะถูกไฟไหม้ หรือน้ำท่วม
๓.ภัยเช่นนั้นเกิดขึ้นแก่โคจรคาม ลำบากด้วยบิณฑบาต, ในข้อนี้ชาวบ้านอพยพจะตามเขาไปก็ควร
๔.ขัดสนด้วยอาหาร โดยปกติไม่ได้อาหารหรือเภสัชอันสบาย ไม่ได้อุปัฏฐากอันสมควร
(ข้อนี้หากพอทนได้ก็ควรอยู่ต่อไป)
๕.มีหญิงมาเกลี้ยกล่อม หรือมีญาติมารบกวนล่อด้วยทรัพย์
๖.สงฆ์ในอาวาสอื่นจวนจะแตกกันหรือแตกกันแล้ว ไปเพื่อจะห้ามหรือเพื่อสมานสามัคคีได้อยู่
(ในข้อนี้ ถ้ากลับมาทัน ควรไปด้วยสัตตาหกรณียะ)
พระพุทธองค์ทรงอนุญาตการอยู่จำพรรษาในสถานที่บางแห่ง แก่ภิกษุบางรูปผู้มีความประสงค์
จะอยู่จำพรรษาในสถานที่ต่าง ๆ กัน สถานที่เหล่านั้น คือ
๑.ในคอกสัตว์ (อยู่ในสถานที่ของคนเลี้ยงโค)
๒.เมื่อคอกสัตว์ย้ายไป ทรอนุญาตให้ย้ายตามไปได้
๓.ในหมู่เกวียน
๔.ในเรือ
พระพุทธองค์ทรงห้ามมิให้อยู่จำพรรษาในสถานที่อันไม่สมควร สถานที่เหล่านั้นคือ
๑.ในโพรงไม้ ๒.บนกิ่งหรือคาคบไม้
๓.ในที่กลางแจ้ง
๔.ในที่ไม่มีเสนาสนะ คือไม่มีที่นอนที่นั่ง
๕.ในโลงผี
๖.ในกลด
๗.ในตุ่ม
ข้อห้ามที่พระพุทธองค์ทรงห้ามไว้อีกอย่างหนึ่ง คือ
๑.ห้ามมิให้ตั้งกติกาอันไม่สมควร เช่น การมิให้มีการบวชกันภายในพรรษา
๒.ห้ามรับปากว่าจะอยู่พรรษาในที่ใดแล้ว ไม่จำพรรษาในที่นั้น
อนึ่ง วันเข้าพรรษานี้ ถือกันว่าเป็นกรณียพิเศษสำหรับภิกษุสงฆ์ เมื่อใกล้วันเข้าพรรษาควรปัดกวาด
เสนาสนะสำหรับจะอยู่จำพรรษาให้ดี ในวันเข้าพรรษา พึงประชุมกันในโรงอุโบสถไหว้พระสวดมนต์ ขอขมาต่อกันและกัน หลังจากนั้นก็ประกอบพิธีอธิษฐานพรรษา ภิกษุควรอธิษฐานใจของตนเองคือตั้งใจเอาไว้ว่า ตลอดฤดูกาลเข้าพรรษานี้ ตนเองจะไม่ไปไหน ด้วยการเปล่งวาจาว่า
“อิมสฺมึ อาวาเส อิมัง เตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ แปลว่า ข้าพเจ้าจะอยู่จำพรรษาในอาวาสนี้ตลอด ๓ เดือน”
หลังจากเสร็จพิธีเข้าพรรษาแล้ว ก็นำดอกไม้ธูปเทียนไปนมัสการบูชาปูชนียวัตถุที่สำคัญในวัดนั้น ในวันต่อมาก็นำดอกไม้ ธูปเทียนไปขอขมาพระอุปัชฌาย์อาจารย์และพระเถระผู้ที่ตนเองเคารพนับถือ
อานิสงส์แห่งการจำพรรษา
เมื่อพระภิกษุอยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือนได้ปวารณาแล้ว ย่อมจะได้รับอานิสงส์แห่งการจำพรรษา ๕ อย่าง
ตลอด ๑ เดือนนับแต่วันออกพรรษาเป็นต้นไป คือ
๑.เที่ยวจาริกไปโดยไม่ต้องบอกลา ตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรค ปาจิตตีย์กัณฑ์
๒.เที่ยวจาริกไปโดยไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบสำรับ
๓.ฉันคณะโภชน์และปรัมปรโภชน์ได้
๔.เก็บอติเรกจีวรได้ตามปรารถนา
๕.จีวรอันเกิดขึ้นในที่นั้นเป็นของพวกเธอ
และยังได้โอกาสเพื่อที่จะกราลกฐิน และได้รับอานิสงส์พรรษาทั้ง ๕ ขึ้นนั้นเพิ่มออกไปอีก ๔ เดือน ในฤดูเหมันต์
หรือฤดูหนาว คือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ไปจนถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ อีกด้วย
สำหรับคฤหัสถ์ ควรปฏิบัติเป็นกรณีพิเศษเช่นเดียวกัน ควรอธิษฐานใจตนเอง เพื่องดเวนจากสิ่งที่เป็นอกุศลทั้งปวง

สิ่งใดที่จะเป็นทางนำไปสู่หนทางแห่งความเสื่อมก็ควรจะงดเว้นเสีย แล้วตั้งใจสมาทานในการบำเพ็ญกุศลให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ด้วยการสมาทานรักษาอุโบสถตลอด ๓ เดือน ตามการเข้าพรรษาของพระสงฆ์ การปฏิบัติขอิงคฤหัสถ์เช่นนี้ เรียกว่า “คฤหัสถ์เข้าพรรษา” จะเป็นมหากุศลอย่างยิ่ง การบำเพ็ญกุศลนั้น ถ้าจะทำติดต่อกันไปโดยตลอด ไม่เลือกเฉพาะกาลแล้ว ย่อมจะเป็นศิริมงคลแก่ตนเองมากยิ่งนักแล ฯ

******************

หมายเหตุ.- บทความเรื่อง "วันเข้าพรรษา" นี้ คณะผู้จัดทำเว็บ ได้พิจารณาเห็นว่า เป็นบทความที่ดี มีสาระ มีประโยชน์
และมีความสมบูรณ์ด้านเนื้อหาและสาระเป็นอย่างยิ่ง จึงขออนุญาตนำมาลงไว้ให้ได้อ่านกัน ความดี และ บุญกุศลอันใด ที่จะพึงบังเกิดมีเพราะบทความนี้ คณะผู้จัดทำ ขอน้อมถวายแด่เจ้าของบทความ ดังกล่าวข้างต้นนั้นทุกประการ
   
   

กลับไปหน้าแรก
กลับไปหน้า Web วัดท่าไทร
ไป Web สำนักงานเจ้าคณะภาค ๑๖
ไป Web ศูนย์ฝึกอบรมคอมพิวเตอร์วัดท่าไทร
ไป Web สำนักงานเจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานี