เด็กหลังสึนามิต้องการอะไร
รศ.พญ.ศรีเวียง ไพโรจน์กุล
ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
เหตุการณ์คลื่นยักษ์ถล่มภาคใต้
ด้านชายฝั่งอันดามันเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2547 ก่อเกิดความเสียหายใหญ่หลวง
ผู้คนมากมายสูญเสียชีวิต และอีกมากไร้ที่อยู่อาศัย ครอบครัวพลัดพราก
ชุมชนล่มสลาย องค์การยูนิเซฟ ได้ประมาณการว่า 1 ใน 3 ของผู้ที่ได้รับผลกระทบคือ
เด็ก ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เปราะบางมากที่สุด เนื่องจากสรีระทางร่างกาย
และพัฒนาการที่ยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ ประกอบกับเด็กไม่มีอำนาจต่อรอง
และยังต้องพึ่งพิงผู้ใหญ่ ส่งผลให้การตอบสนอง ต่อความต้องการที่จำเป็นของเด็ก
อาจไม่ได้รับการเอาใจใส่
ทำให้เด็กในภาวะภัยพิบัติต้องทนทุกข์ทรมาน
หรือเผชิญกับผลกระทบหรือภาวะแทรกซ้อน ซึ่งสามารถป้องกันได้หากสามารถตอบสนองความต้องการของเด็กได้เหมาะสม
ผลกระทบเฉียบพลันที่เกิดกับเด็ก ได้แก่ การสูญเสียชีวิตหรือการสูญหายของบุคคลอันเป็นที่รักทั้งพ่อแม่
พี่น้อง ครู เพื่อน และคนที่เด็กคุ้นเคย บ้าน และโรงเรียนเสียหาย ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบทางจิตใจไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความหวาดกลัว
เศร้าโศก จะยังมีผลกระทบต่อเด็กในระยะยาว
ในการประเมินความต้องการทางด้านจิตสังคมสำหรับเด็กที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ
เป็นความจำเป็นที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ทราบปัญหา และความต้องการของเด็ก
รวมถึงการจัดลำดับความต้องการเพื่อให้เด็กได้รับการดูแลที่เหมาะสม
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ได้ทำการสำรวจความต้องการทางจิตสังคมของเด็กที่ได้รับผลกระทบจากคลื่นยักษ์ถล่มชายฝั่งอันดามัน
เป็นการสำรวจอย่างรีบด่วน โดยทำการสำรวจเชิงปริมาณจาก 433 ครัวเรือน
ที่มีเด็กอยู่ 128 ครัวเรือนตั้งอยู่ในจังหวัดระนอง และ 305 ครัวเรือนในจังหวัดพังงา
พร้อมกันนี้ได้ทำการสำรวจเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์กลุ่มชุมชน
ผู้นำทางสาธารณสุข และชาวบ้าน โดยสำรวจในระหว่างวันที่ 9-15 ม.ค.2548
พร้อมกันนี้ทางคณะแพทยศาสตร์และคณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ได้ร่วมกับคณะพยาบาลศาสตร์ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์และมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
จัดโปรแกรมการปฐมพยาบาลจิตใจเด็กที่ได้รับผลกระทบจากคลื่นยักษ์ถล่ม
โดยเบื้องต้นได้ทำใน 6 โรงเรียนในระนอง และพังงา ภายใต้การสนับสนุนจากองค์การยูนิเซฟประเทศไทย
รายงานผลศึกษาทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ
โดยผลการประเมินสภาวะของจิตใจเด็ก จากการทำงานกับเด็กในโครงการ การปฐมพยาบาลจิตใจเข้าด้วยกัน
เพื่อนำเสนอให้เห็นถึงความต้องการของเด็กที่ได้รับผลกระทบนั้น ปรากฏข้อมูลพื้นฐานก่อนเกิดคลื่นยักษ์
-
ประชากรในระนอง 70% มีอาชีพประมงและ 12.5% มีอาชีพรับจ้างทั่วไป ประชากรมีรายได้เฉลี่ย
5,322 บาท/เดือน ส่วนในพังงา 24% ประกอบอาชีพประมง และ 43% มีอาชีพรับจ้างทั่วไป
ซึ่งส่วนใหญ่รับจ้างอยู่บริเวณเขาหลัก รายได้เฉลี่ยเดือนละ 10,399
บาท
-
ลักษณะของชุมชนส่วนใหญ่เป็นครอบครัวขยาย มีการช่วยเหลือกันและกันในเครือญาติ
ปู่ ย่า ตา ยาย ช่วยเลี้ยงดูเด็กในระหว่างที่พ่อแม่ออกไปทำงาน
-
ชาวบ้านในพื้นที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่ในระนองนับถือศาสนาอิสลาม ทั้งชาวพุทธและอิสลามในพื้นที่ได้รับผลกระทบมีความเชื่อทางศาสนาเหนียวแน่น
-
สภาพของเด็กก่อนเกิดคลื่นยักษ์พบว่า 1.6% เป็นเด็กที่มีความพิการที่มีพัฒนาการล่าช้าหรือพิการทางร่างกาย
อีก 7.5% เป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่หย่าร้าง
-
ระบบการคุ้มครองเด็ก หน่วยงานรัฐที่เป็นหลักคือ พัฒนาสังคม มีอัตรากำลังน้อยเกินกว่าจะครอบคลุมพื้นที่ทั้งจังหวัดได้
และระบบการช่วยเหลือยังไม่สามารถใช้ได้มีประสิทธิภาพ แม้จะมีประกาศใช้
พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก และมีคณะกรรมการคุ้มครองเด็กที่ได้รับการแต่งตั้งในจังหวัดก็ตาม
ทางด้านสภาพของเด็กหลังเกิดภัยพิบัติคลื่นยักษ์
-
บุคคลที่สูญเสียชีวิตหรือสูญหายในครอบครัวที่พบมากที่สุดถึง 30% คือบุตร
รองลงมา 17% เป็นภรรยา
-
ที่อยู่อาศัยพบว่า 1% ของครัวเรือนในพังงายังคงอาศัยอยู่ในบ้านเดิม
และ 1% พักอยู่บ้านญาติ ส่วนที่เหลืออยู่ในศูนย์พักพิง ในระนอง 39%
ยังคงอยู่ในบ้านเดิม มีเพียง 9% ที่อาศัยอยู่ในบ้านพักพิง
-
ความต้องการของครอบครัว 76% ต้องการมีรายได้ และ 74% ต้องการที่พักอาศัย
-
ปฏิกิริยาของครอบครัว 75% มีอาการกลัว และ 53% เศร้าโศกจากการสูญเสีย
-ปฏิกิริยาของเด็กโดยการสอบถามจากผู้ปกครองพบว่าในเด็กอายุ
0-5 ปี 8% มีปัญหาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเรื่องการกิน 7% มีปัญหาติดผู้เลี้ยงไม่ยอมห่าง
ในเด็กวัย 5-12 ปี 6% มีปัญหาการกิน อีก 12% มีปัญหาการนอน 9% มีอาการหวาดกลัว
ส่วนในเด็กโตอายุ 7-12 ปี 18% มีอาการกลัว 11% มีปัญหาการกิน และ 8%
มีปัญหาการนอน
จากการจัดโปรแกรมการปฐมพยาบาลจิตใจเด็กในโรงเรียน
พบว่าเด็กบางส่วนยังมีอาการกลัวทะเล และคลื่นยักษ์ มีอาการตกใจเวลาได้ยินเสียงดัง
เด็กส่วนใหญ่ไม่กล้านอนคนเดียวเนื่องจากฝันร้าย และกลัวผี ปฏิกิริยาเศร้าโศกต่อการสูญเสียมีความรุนแรงในโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
เช่น ชุมชนน้ำเค็ม โรงเรียนชุมชนในแต่ละชั้นเรียนมีเด็กเสียชีวิตหรือสูญหายถึงห้องละ
2-3 คน และมีเด็กที่สูญเสียบิดา และหรือมารดาห้องละ 2-3 คน เด็กส่วนใหญ่สูญเสียบ้าน
และต้องพักอยู่ในศูนย์พักพิง บรรยากาศในห้องเรียนจึงเงียบเหงาหดหู่
จากการทำกิจกรรมกับเด็กพบว่า
เด็กบางส่วนสามารถทำใจได้บ้าง เด็กบางส่วนเผชิญปัญหากับความสูญเสียโดยนำหลักศาสนามาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวโดยเฉพาะศาสนาอิสลาม
โรงเรียนมีบทบาทมากกับการฟื้นฟูจิตใจเด็กที่ประสบภัย พบว่าเด็กส่วนใหญ่รู้สึกเศร้าสร้อยเมื่ออยู่บ้าน
แต่มีความสุขเมื่อมาโรงเรียน และปัจจัยที่มีความสำคัญที่สุดคือ เพื่อนคอยปลอบใจซึ่งมีส่วนช่วยบรรเทาความทุกข์ใจของเด็กได้มาก
ผลสำรวจหลังเกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์
มีเด็กเพียง 59% เท่านั้นที่มีทั้งพ่อและแม่อาศัยอยู่ด้วยกัน 20% มีเพียงแม่
และ 8% มีเพียงพ่อ 9% อยู่กับปู่ย่าตายาย มีเพียง 1% ไม่มีญาติพี่น้องดูแลเลย
จากลักษณะครอบครัวที่อยู่กันอย่างเครือญาติ
ทำให้เด็กที่กำพร้าทั้งพ่อแม่ ยังมีญาติช่วยเลี้ยงดู แต่ครอบครัวที่มีเพียงพ่อแม่คนใดคนหนึ่ง
หรือครอบครัวที่ต้องรับเด็กกำพร้าเข้ามาไว้ในการดูแล จำเป็นต้องมีการติดตามใกล้ชิด
เนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจที่มีผลกระทบตามมา อาจทำให้เด็กมีโอกาสถูกกระทำทารุณละเลยทอดทิ้งหรืออาจถูกใช้แสวงหาผลประโยชน์จากการใช้แรงงาน
ประเด็นสำคัญที่พบจากการจัดกิจกรรมกับเด็กนักเรียนในโรงเรียน
นอกจากปัญหาสภาพจิตใจแล้ว ยังพบปัญหาหลายเรื่องที่มีความสำคัญ จำเป็นต้องได้รับการดูแลแก้ไข
-
ผู้เลี้ยงดูเด็กส่วนใหญ่ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการด้านจิตใจได้
เด็กจึงรู้สึกเศร้าสร้อย หดหู่ เมื่ออยู่บ้านแต่รู้สึกคลายความเศร้าโศกเมื่ออยู่ที่โรงเรียนโดยเฉพาะเมื่อได้พูดคุยกับเพื่อน
-
ปัญหาครอบครัวที่มีอยู่ก่อนหน้าภัยพิบัติ เช่น ครอบครัวแตกแยก ปัญหาใช้ความรุนแรงในครอบครัว
ซึ่งเด็กที่มาจากครอบครัวเหล่านี้จะมีผลกระทบจากคลื่นยักษ์รุนแรงกว่าเด็กที่ไม่มีปัญหาครอบครัว
-
ความไม่พร้อมของโรงเรียนในการรับกับสถานการณ์ภัยพิบัติ แม้โรงเรียนเปิดแล้ว
แต่กิจกรรมในห้องเรียนยังไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากครูต้องไปต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมเยียนโรงเรียน
และเด็กถูกเรียกตัวออกจากห้องมารับเงินบริจาคเป็นระยะ นอกจากนั้นครูส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับการติดตามดูแลผลกระทบด้านจิตใจ
และวิธีการให้การช่วยเหลือ ครูเองก็อยู่ในสภาพเหนื่อยล้า และซึมเศร้าจากการสูญเสียเช่นกัน
ในขณะเดียวกันครูถูกคาดหวังไว้ให้ทำการช่วยเหลือเด็กในขณะที่ตัวครูเองได้รับการสนับสนุนหรือช่วยเหลือน้อยมาก
-
ปัญหาสิทธิเด็ก และการคุ้มครองเด็ก ไม่ได้รับการปกป้องสิทธิจากการถูกสื่อนำไปสัมภาษณ์
โดยเด็กไม่มีโอกาสปฏิเสธ และการสัมภาษณ์บ่อยครั้งไม่ได้คำนึงถึงจิตใจ
และความรู้สึกของเด็ก ในระยะวิกฤติช่วงสัปดาห์แรกๆ พบว่าสื่อสามารถเข้าถึงเด็กได้ง่ายดาย
โดยไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองของโรงเรียน ขณะเดียวกันนักวิชาการต่างลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลทำวิจัยโดยไม่มีการขออนุญาตจากเด็ก
และผู้ปกครอง
-
ปัญหาประสานงานในพื้นที่ พบว่ามีองค์กร และหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน
ต่างแห่ลงจัดกิจกรรมในโรงเรียนบางอย่างไม่มีความเหมาะสม และไม่ได้เป็นการเยียวยาจิตใจ
การจัดกิจกรรมยังทำให้โรงเรียนไม่สามารถดำเนินการเรียน การสอนตามปกติ
บางโรงเรียนมีผู้มาทำกิจกรรมซ้ำซ้อน ในขณะที่โรงเรียนที่อยู่ห่างไกลการคมนาคมไม่สะดวกไม่มีผู้มาเยี่ยมเยียนเลย
ข้อเสนอแนะ
เด็กควรได้รับการดูแลสุขภาพทั้งกาย จิตใจ และสังคม มีการติดตามภาวะโภชนาการ
และสุขภาพทั่วไปใกล้ชิด
-
ต้องมีการติดตามเด็กเพื่อดูผลกระทบทางจิตใจ ควรให้ความรู้เกี่ยวกับการคัดกรองโดยผู้ปกครอง
ครู ชุมชน ให้การดูแล และส่งปรึกษาต่อในรายที่มีอาการรุนแรง
-
กระทรวงสาธารณสุข ต้องจัดเครือข่ายระบบส่งต่อเด็กที่มีปัญหาทางจิตใจที่ต้องการดูแลทางด้านสุขภาพจิต
โดยต้องเป็นระบบที่สามารถครอบคลุมทั่วถึง และง่ายต่อการส่งปรึกษาโดยผู้ดูแลเด็กและครู
รวมทั้งมีระบบติดตามดูแล
-
ควรจัดกิจกรรมในโรงเรียน และในชุมชนฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็ก
-
เปิดโอกาสให้เยาวชนที่ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมชุมชน
-
ฟื้นฟูจิตใจของผู้ใหญ่ก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกัน เนื่องจากสุขภาพจิตของผู้ดูแลมีผลต่อสุขภาพจิตของเด็ก
รวมทั้งผู้ดูแลต้องทำหน้าที่ให้การประคับประคองจิตใจเด็ก
-
มีระบบขึ้นทะเบียนและติดตาม เพื่อคุ้มครองเด็กที่ขาดพ่อแม่ ต้องอยู่ในความดูแลของคนนอกครอบครัว
ป้องกันมิให้เด็กถูกละเลยทอดทิ้ง ถูกกระทำทารุณหรือถูกแสวงหาประโยชน์โดยใช้การแรงงาน
-
ให้การฟื้นฟูด้านเศรษฐกิจแก่ ครอบครัวที่ขาดพ่อแม่หรือครอบครัวที่ต้องรับเด็กกำพร้าเข้ามาในการดูแล
-
โรงเรียนควรเตรียมความพร้อมในเรื่องภัยพิบัติ รวมทั้งมีการอบรมครูเกี่ยวกับการสังเกตอาการทางจิตใจของเด็กที่ประสบภัย
ทบทวนหลักสูตรให้มีการบูรณาการที่ส่งเสริมการฟื้นตัวของเด็ก
-
พัฒนาให้มีการประสานงานที่ดีระหว่างหน่วยงานรัฐ เอกชน เพื่อให้มีการใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม
ให้เด็กได้รับบริการหรือการดูแลทั่วถึง ไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนของโครงการ
-
ส่งเสริมให้เกิดการฟื้นสภาพวิถีชีวิตของชุมชน มีส่วนร่วมฟื้นฟู และปกป้องเด็ก
-การดูแลช่วยเหลือเด็กผู้ประสบภัยในระยะวิกฤติ
ช่วงแรกเป็นเรื่องของการดูแลรักษาการบาดเจ็บทางร่างกาย การจัดหาสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
เช่น น้ำ อาหาร และที่พักพิง รวมทั้งการเยียวยาจิตใจจากความหวาดกลัว
ความเศร้าโศกจากการสูญเสีย
ในระยะยาวจะเป็นเรื่องของการเยียวยาทางจิตสังคม
การฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็ก การป้องกันเด็กจากการถูกทารุณละเลยทอดทิ้งหรือใช้แรงงานไทยได้ผ่านภาวะวิกฤติจากการเผชิญภัยพิบัติคลื่นยักษ์
ดำเนินการช่วยเหลือได้เกิดขึ้นมากมาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อให้เกิดบทเรียนที่จำเป็นต้องเรียนรู้
และปรับตัว เป็นการใช้วิกฤติเป็นโอกาสสร้างระบบและเครือข่ายในการบริหารจัดการ
และแนวทางดูแลเด็กในภาวะภัยพิบัติต่อไป
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ปีที่ 18 ฉบับที่
6034 วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2548 หน้า 15
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
กลับไปหน้า
Web วัดท่าไทร
ไป Web สำนักงานเจ้าคณะภาค
๑๖
ไป
Web ศูนย์พัฒนาคุณธรรมภาคใต้
ไป
Web วิทยุชุมชนตำบลท่าทองใหม่
ไป Web ชมรมวีอาร์ร้อยเกาะสุราษฎร์ธานี
|