วิธีถอดถอนพระสังฆาธิการ
นำเสนอโดย พระมหาบุญโฮม ปริปุณฺณสีโล (ไชยฤทธิ์) วัดท่าไทร ต.ท่าทองใหม่ อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ๘๔๒๙๐


              การถอดถอนพระสังฆาธิการจากตำแหน่งหน้าที่ เป็นบทบัญญัติเพื่อลงโทษ แก่พระสังฆาธิการผู้ละเมิดจริยาอย่างร้ายแรง แม้ข้อใดข้อหนึ่ง ตามความในข้อ ๕๔ แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๔ (พ.ศ.๒๕๔๑) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์ไว้ ๕ ประการ คือ.-

              ๑. ทุจริตต่อหน้าที่
              ๒. ละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรเกินกว่า ๓๐ วัน
              ๓. ขัดคำสั่งอันชอบด้วยการคณะสงฆ์ และการขัดคำสั่งนั้น เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่การคณะสงฆ์
              ๔. ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแก่การคณะสงฆ์
              ๕. ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง

              ทั้ง ๕ ประการ นี้ เป็นหลักเกณฑ์ให้ดำเนินการถอดถอนพระสังฆาธิการ ส่วนวิธีการปฏิบัตินั้น พอแยกกล่าวได้ดังนี้

              ๑. ให้ผู้บังคับบัญชารายงานความผิดต่อผู้มีอำนาจแต่งตั้ง
              ๒. ให้ผู้มีอำนาจแต่งตั้งสอบสวน
              ๓. เมื่อได้ความจริงตามรายงานแล้ว ให้ผู้มีอำนาจแต่งตั้งสั่งถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่ได้

ข้อควรสังเกต

              พระสังฆาธิการละเมิดจริยาอย่างร้ายแรงข้อใดข้อหนึ่งแล้ว มิใช่จะพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ทันที ต่อเมื่อผู้บังคับบัญชาดำเนินการตามวิธีดังกล่าว และได้สั่งถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่แล้ว จึงจะพ้นจากตำแหน่งหน้าที่

              การสอบสวนนั้น จะทำการเองหรือจะตั้งกรรมการสอบสวนเสนอความเห็นก็ได้ ถ้าตั้งกรรมการสอบสวน กรรมการย่อมมีหน้าที่เพียงสอบสวนเสนอความเห็นเท่านั้น ผู้มีอำนาจแต่งตั้งต้องพิจารณาชี้ขาดเอง และผลของการพิจารณาย่อมปรากฏอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่

              ๑. ได้กระทำความผิด
                    ๑.๑ อย่างร้ายแรง (ลงโทษถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่)
                    ๑.๒ อย่างไม่ร้ายแรง แต่ถ้าจะให้ดำรงตำแหน่งต่อไปอาจเสียหายแก่การคณะสงฆ์ (ลงโทษปลดจากตำแหน่งหน้าที่)
                    ๑.๓ อย่างร้ายแรงแต่มีเหตุที่ผู้บังคับบัญชาเห็นควรปรานี จะให้ดำรงตำแหน่งต่อไป ก็ไม่เสียหายแก่การคณะสงฆ์ (ลงโทษตำหนิโทษ)
                    ๑.๔ อย่างไม่ร้ายแรง ไม่มีเหตุที่ผู้บังคับบัญชาเห็นควรปรานี จะให้ดำรงตำแหน่งต่อไป ก็ไม่เสียหายแก่การคณะสงฆ์ (ลงโทษตำหนิโทษ)
                    ๑.๕ อย่างไม่ร้ายแรงและมีเหตุที่ผู้บังคับบัญชาเห็นควรปรานี (ลงโทษภาคทัณฑ์)

              ๒. มิได้กระทำความผิด แต่มีมลทินหรือมัวหมอง ถ้าให้ดำรงตำแหน่งต่อไป อาจเสียหายแก่การคณะสงฆ์ (ลงโทษปลดจากตำแหน่งหน้าที่)

              ๓. มิได้กระทำความผิดและไม่มีมลทินความผิดเลย (จะลงโทษใด ๆ มิได้ แม้ได้สั่งพักจากหน้าที่ไว้ก่อน ก็ต้องสั่งให้กลับดำรงตำแหน่งเดิม)

              เมื่อได้ลงโทษอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องรีบรายงานผู้บังคับบัญชาเหนือตนทราบ จะลงโทษแล้วเก็บเรื่องเสียมิได้ อนึ่ง ยังมีกรณีอื่นที่ให้ถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่ได้ คือ

              ๑) ถูกตำหนิโทษและยังอยู่ในระหว่าง ละเมิดจริยาในกรณีเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันซ้ำอีก
              ๒) กรณีที่ร้องทุกข์ แต่ปรากฏว่าเป็นการร้องทุกข์เท็จ
              ๓) ถูกระงับหน้าที่พระอุปัชฌาย์ตามข้อ ๒๕ หรือตามข้อ ๓๓ (๒) หรือถูกให้พักหน้าที่พระอุปัชฌาย์ตามข้อ ๓๔ วรรค ๓ แห่งกฎ ๑๗ หากฝ่าฝืนให้บรรพชาอุปสมบท
              ๔) ถูกลงโทษตามข้อ ๓๓ (๒) แห่งกฎ ๑๗ แล้วไม่เข็ดหลาบ ละเมิดซ้ำอีก

 

เอกสารและตัวอย่างเพิ่มเติม
              >> แบบเอกสารเกี่ยวกับการดำเนินงานเพื่อถอดถอนพระสังฆาธิการจากตำแหน่งหน้าที่

กลับไปหน้า Web วัดท่าไทร
ไป Web สำนักงานเจ้าคณะภาค ๑๖

ไป Web ศูนย์พัฒนาคุณธรรมภาคใต้
ไป Web วิทยุชุมชนตำบลท่าทองใหม่
ไป Web ชมรมวีอาร์ร้อยเกาะสุราษฎร์ธานี