ตำหนิโทษ
ตามความในข้อ ๕๔ แห่งกฎมหาเถรสมาคม
ฉบับที่ ๒๔ กำหนดโทษฐานละเมิดจริยาไว้ ๔ อย่าง เฉพาะการตำหนิโทษ เป็นการลงโทษอย่างที่
๓ จัดเป็นโทษสถานเบา มีไว้เพื่อลงโทษแก่ผู้ละเมิดจริยาซึ่งไม่ควรลงโทษถึงถอดถอน
หรือปลดจากตำแหน่งหน้าที่ มีข้อควรศึกษาดังนี้
๑. ความผิดอันเป็นเหตุ
อย่างใดอย่างหนึ่ง
๑.๑ ความผิดฐานละเมิดจริยาซึ่งไม่ร้ายแรง
๑.๒ ความผิดฐานละเมิดจริยาอย่างร้ายแรงแต่มีเหตุที่ผู้บังคับบัญชาเห็นควรปรานี
๒. ผู้สั่งลงโทษ
๒.๑ ความผิดใน ๑.๑ ผู้บังคับบัญชา
๒.๒ ความผิดใน ๑.๒ ผู้มีอำนาจแต่งตั้ง
๓. วิธีปฏิบัติ
๓.๑ ถ้าผู้บังคับบัญชาเห็นผู้ใต้บังคับบัญชาละเมิดจริยาอย่างไม่ร้ายแรงถึงกับต้องถอดถอน
ให้สั่งตำหนิโทษได้
๓.๒ ถ้าพระสังฆาธิการรูปใดรูปหนึ่งถูกกล่าวหาว่าละเมิดจริยาอย่างร้ายแรง
เมื่อผู้มีอำนาจแต่งตั้งสอบสวนแล้ว ปรากฏว่า รูปนั้นละเมิดจริยาอย่างร้ายแรงจริง
แต่ผู้บังคับบัญชาเห็นเหตุอันควรปรานี ให้สั่งตำหนิโทษได้
๓.๓ การสั่งตำหนิโทษนั้น ให้แสดงความผิดเป็นลายลักษณ์อักษร โดยมีกำหนดไม่เกิน
๓ ปี และจะให้ทำทัณฑ์บนไว้ด้วยก็ได้
๓.๔ ให้อำนาจดำเนินการในระหว่าง
๓.๔.๑ ถ้ากลับประพฤติดีในทางคณะสงฆ์พอควรแล้ว
ให้สั่งลบล้างตำหนิโทษก่อนกำหนดได้
๓.๔.๒ ถ้าละเมิดฐานเดิมหรือคล้ายคลึงกันซ้ำอีก
ให้ถือว่าละเมิดจริยาอย่างร้ายแรง
ในเมื่อมีการละเมิดฐานเดิมหรือคล้ายคลึงกันซ้ำอีก ผู้บังคับบัญชาใกล้ชิดต้องรายงานตามลำดับจนถึงผู้มีอำนาจแต่งตั้ง
เพื่อพิจารณาลงโทษฐานละเมิดจริยาอย่างร้ายแรง
ภาคทัณฑ์
ส่วนการลงโทษภาคทัณฑ์นั้น
ภาคทัณฑ์เป็นการลงโทษฐานละเมิดจริยาอย่างเบาที่สุด ซึ่งมีกำหนดไม่เกิน
๑ ปี ใช้ลงโทษแก่พระสังฆาธิการผู้ละเมิดจริยาซึ่งผู้บังคับบัญชาเห็นว่ายังไม่ควรลงโทษถึงตำหนิโทษ
ในระหว่างที่ถูกลงโทษภาคทัณฑ์นั้น ถ้า
๑. หากกลับประพฤติดีในทางคณะสงฆ์พอควรแล้ว
ให้สั่งลบล้างภาคทัณฑ์ก่อนกำหนดได้
๒. ถ้าละเมิดจริยาอีก ให้ลงโทษสถานอื่นถัดขึ้นไปโดยควรแก่กรณี
ในเมื่อมีการละเมิดจริยาอีก ให้สั่งลงโทษถัดขึ้นไป อาจเป็นตำหนิโทษหรือถอดถอนก็ได้
อยู่ที่การละเมิด
อนึ่ง การสั่งตำหนิโทษหรือสั่งลบล้างการตำหนิโทษ และการสั่งภาคทัณฑ์หรือสั่งลบล้างการภาคทัณฑ์นั้น
เมื่อสั่งการแล้วต้องรายงานผู้บังคับบัญชาเหนือตน
ข้อมูลหรือแบบพิมพ์ที่ควรดูเพิ่มเติม
>> แบบเอกสารเกี่ยวกับการตำหนิโทษและภาคทัณฑ์พระสังฆาธิการ
|