เกริ่นนำ
บทความนี้ครอบคลุมเรื่องราวของพระสงฆ์ไทยกับสิทธิทางกฎหมายในประเด็นต่างๆ
กล่าวคือ สิทธิในการเลือกตั้ง สิทธิในการถือบัตรประจำตัวประชาชน และสิทธิในการได้รับหนังสือเดินทางตามขั้นตอนปรกติ
รวมทั้งเรื่องราวของภิกษุณี สามเณรี และแม่ชีกับสิทธิทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
โดยการตีความทั้งในเชิงกฎหมาย (ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนปี
พ.ศ. 2540) และพระธรรมวินัยเป็นที่ตั้ง
โดยในที่นี้จะชี้ให้เห็นถึงความลักลั่นของการตีความสิทธิและหน้าที่แห่งคณะสงฆ์ไทยที่ขัดแย้งกันเอง
ระหว่างกระทรวงมหาดไทย, กระทรวงกลาโหม, กระทรวงคมนาคม, และกระทรวงสาธารณสุข,
นอกจากนี้ยังได้เปรียบเทียบกับสิทธิทางกฎหมายของคณะสงฆ์ในประเทศเพื่อนบ้าน
ที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทอีกด้วย และเนื่องจากบทความนี้ประกอบขึ้นจากข้อเขียนที่เขียนขึ้นในวาระต่างๆ
จึงมีทั้งบันทึกวันเดือนปี และบรรยากาศทางการเมืองกับสังคมที่ผ่านมาเกี่ยวข้องอยู่ด้วย
อันอาจถือเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งก็ว่าได้
สำหรับบทความชิ้นนี้ประกอบด้วย
1. พระสงฆ์ไทยกับสิทธิในการเลือกตั้ง
2. บัตรประจำตัวของพระสงฆ์
3. หนังสือเดินทางของพระสงฆ์
4. สามเณรีกับสิทธิทางกฎหมาย
1. พระสงฆ์ไทยกับสิทธิในการเลือกตั้ง
ในช่วงที่สภาผู้แทนราษฎรใกล้จะสิ้นสุดวาระ คณะกรรมการการเลือกตั้ง
(กกต.) อันเป็นองค์กรอิสระตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ(2540)
ได้กำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548
พรรคการเมืองต่างๆ เริ่มออกมาเคลื่อนไหวอย่างคึกคักเพื่อเตรียมการเลือกตั้ง
ประชาชนทั่วประเทศต่างก็จะได้ใช้สิทธิขั้นพื้นฐานในการเลือกตั้ง ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ในอีกมุมหนึ่งของสังคมไทย ประชาชนกลุ่มหนึ่งซึ่งมีจำนวนไม่น้อยถูกละเลยสิทธิขั้นพื้นฐานนี้
เพียงเพราะว่าบุคคลเหล่านั้นถูกเรียกว่า "พระสงฆ์" ในแง่หนึ่งพระสงฆ์คือสาวกของพระพุทธเจ้า
เป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา แต่ในอีกแง่หนึ่งพระสงฆ์ก็คือประชาชนที่มีสิทธิและหน้าที่ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
ดังมาตรา 5 ที่ว่า "ประชาชนชาวไทยไม่ว่าเหล่ากำเนิด เพศ หรือศาสนาใด
ย่อมอยู่ในความคุ้มครองแห่งรัฐธรรมนูญนี้เสมอกัน"
กระทรวงกลาโหมกำหนดให้พระสงฆ์ซึ่งเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา มีหน้าที่ต้องไปเกณฑ์ทหารในฐานะประชาชนไทยคนหนึ่ง
แต่กระทรวงมหาดไทยกลับปฏิเสธสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งของพระสงฆ์
อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน การตีความสิทธิและหน้าที่ของพระสงฆ์ในฐานะประชาชน
ของกระทรวงกลาโหมและกระทรวงมหาดไทยจึงขัดแย้งกัน ทั้งๆ ที่ต่างก็เป็นหน่วยงานของรัฐทั้งคู่
รัฐธรรมนูญมาตรา 26 ระบุว่า "การใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กร
ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้"
ในเมื่อพระสงฆ์เป็นทั้งนักบวชในพระพุทธศาสนาและประชาชนในเวลาเดียวกัน
การตีความของกระทรวงกลาโหมน่าจะถูกต้องกว่ากระทรวงมหาดไทย กฎระเบียบของกระทรวงมหาดไทยที่ห้ามพระสงฆ์ไม่ให้ไปใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง
จึงน่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญและมิชอบด้วยกฎหมาย, ดังมาตรา 6 ที่ว่า "รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้
บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้"
ข้ออ้างโดยทั่วไปที่ห้ามมิให้พระสงฆ์ไปใช้สิทธิออกเสียงในการเลือกตั้งก็คือ
พระสงฆ์ไม่ควรจะยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เนื่องจากพระสงฆ์เป็นผู้ที่บริสุทธิ์
ส่วนการเมืองเป็นเรื่องสกปรก พระสงฆ์จึงไม่ควรเข้าไปแปดเปื้อนกับความสกปรกของการเมือง.
ถ้าหากข้อสมมติฐานที่ว่า การเมืองคือสิ่งสกปรก (ไร้จริยธรรม) เป็นจริงแล้ว
พระสงฆ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของจริยธรรม ก็ยิ่งจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องให้มาก
เพื่อที่จะชำระล้างการเมืองที่สกปรกให้เป็นการเมืองที่สะอาดให้ได้
อาจถือเป็นหน้าที่โดยตรงของพระสงฆ์ด้วยซ้ำไป
ในฐานะผู้นำทางจริยธรรม พระสงฆ์มีหน้าที่อบรมสั่งสอนศีลธรรมแก่ประชาชน
รวมทั้งแก่นักการเมืองด้วย ปัจจุบันการสั่งสอนอบรมทางวาจาอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่นักการเมือง จำเป็นจะต้องสั่งสอนอบรมด้วยการปฏิบัติในเชิงโครงสร้างด้วย
การที่พระสงฆ์มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง จะเป็นอีกทางหนึ่งที่ทำให้นักการเมืองต้องฟังพระสงฆ์มากขึ้น
พระสงฆ์ซึ่งมีอำนาจทางจริยธรรมอยู่ในมือ ก็จะมีส่วนช่วยให้การเมืองมีจริยธรรมมากขึ้น
ในฐานะผู้นำชุมชน พระสงฆ์อาจใช้ความรู้ทางจริยธรรมของตน ช่วยแก้ปัญหาการซื้อเสียง
หรือการทุจริตเลือกตั้งในรูปแบบอื่นๆ เมื่อพระสงฆ์และชุมชนรวมตัวกันและมีพลังในเชิงจริยธรรม
นักการเมืองก็จะนึกถึงจริยธรรมมากขึ้น และการเมืองก็จะพลอยมีจริยธรรมเพิ่มขึ้นด้วย
ในสังคมไทยนั้นศาสนากับการเมืองสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออกมาโดยตลอด
ในอดีตรัฐเข้าไปจัดการปัญหาของคณะสงฆ์ เช่น รัฐเป็นผู้แต่งตั้งผู้นำคณะสงฆ์
ตรวจสอบพระธรรมวินัยของพระสงฆ์ และจับผู้ปลอมปนมาบวชให้สึกออกไป เป็นต้น.
ปัจจุบันนักการเมืองเป็นฝ่ายเข้าไปควบคุมกิจการของคณะสงฆ์ เช่น นายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี
เป็นผู้ดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติโดยตรง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นผู้ดูแลกรมการศาสนา
เป็นต้น เมื่อนักการเมืองเป็นผู้ควบคุมดูแลกิจการของคณะสงฆ์แล้ว คณะสงฆ์ก็ควรจะมีสิทธิเลือกนักการเมืองเหล่านั้นด้วยโดยผ่านกระบวนการเลือกตั้ง
อีกประการหนึ่งนักบวชหรือเจ้าหน้าที่ในศาสนาอื่น แม้จะทำหน้าที่นักบวช
เช่น บาทหลวงในศาสนาคริสต์ หรือโต๊ะอิหม่านในศาสนาอิสลาม เป็นต้น ก็ล้วนแล้วแต่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั้งสิ้น
ทำให้นักการเมืองมีความเกรงใจนักบวชหรือเจ้าหน้าที่ทางศาสนาเหล่านั้น
ตรงกันข้ามพระสงฆ์ซึ่งเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาของคนไทยส่วนใหญ่
กลับถูกละเลยสิทธิอันชอบธรรมนี้ไป ทำให้นักการเมืองไม่เกรงใจหรือไม่ฟังเสียงของทางฝ่ายพระสงฆ์
เพราะพระสงฆ์ไม่มีอำนาจในการควบคุมตรวจสอบนักการเมืองโดยผ่านการเลือกตั้ง
การใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งเป็นคนละสิ่งกับการเล่นการเมือง การที่พระสงฆ์มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง
(ดังเช่นในประเทศพม่า) มิได้หมายความว่าพระสงฆ์จะสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
(แม้ว่าประเทศพระพุทธศาสนาอย่างศรีลังกา พระสงฆ์มีสิทธิทั้งลงคะแนนเลือกตั้งและสมัครผู้แทนราษฎร
และเวลานี้ก็มีพระสงฆ์ศรีลังกานั่งอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติอยู่ด้วยก็ตาม)
ถ้าหากพระสงฆ์จะลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ก็อาจกระทำได้โดยการสึกหาลาเพศก่อน
แล้วจึงลงสมัครเลือกตั้ง ดังเช่นที่ข้าราชการมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน
แต่ไม่มีสิทธิสมัครผู้แทนราษฎร ข้าราชการจะสมัครเป็นผู้แทนราษฎรได้ก็ต่อเมื่อลาออกจากราชการแล้วเท่านั้น
นอกจากนี้กระทรวงมหาดไทยควรจะทบทวนสิทธิของแม่ชีไทยด้วย เพราะแม่ชีไทยถือบัตรประชาชนในฐานะคนไทยคนหนึ่ง
แต่กลับถูกปฏิเสธสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งมาโดยตลอด นับเป็นสิ่งที่มิชอบด้วยกฎหมาย
และขัดต่อบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้ง โดยเฉพาะมาตรา 38 ที่ว่า
"...บุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองมิให้รัฐกระทำการใดๆ อันเป็นการรอนสิทธิหรือเสียประโยชน์อันควรมีควรได้
เพราะเหตุที่ถือศาสนา นิกายของศาสนา ลัทธินิยมในทางศาสนา หรือปฏิบัติตามศาสนบัญญัติหรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือ
แตกต่างจากบุคคลอื่น" หากพระสงฆ์และแม่ชีได้รับสิทธิในการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งแล้ว
เสียงแห่งมโนธรรมและจริยธรรมน่าจะเข้ามามีบทบาทในการเมืองไทยให้พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น
2. บัตรประจำตัวของพระสงฆ์
ก่อนหน้ารัฐประหารของ คปค.(คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข)
ในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549, ภายใต้การนำของ พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน
ผู้บัญชาการทหารบก อันทำให้รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 และรัฐบาลของ
พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร สิ้นสุดลงนั้น มีข่าวจากพระวินยาธิการ หรือ
"ตำรวจพระ" ว่า จะมีการออกบัตร "สมาร์ทการ์ด"
ให้แก่พระสงฆ์ทุกรูปในคณะสงฆ์ไทย นอกเหนือจากใบสุทธิที่พระสงฆ์ถืออยู่ในปัจจุบัน
ถ้ามองตามเจตนารมณ์ของพระวินยาธิการที่ว่า การออกบัตร "สมาร์ทการ์ด"
ที่บรรจุข้อมูลส่วนตัวของพระสงฆ์ในลักษณะที่คล้ายคลึงกับบัตรประชาชน
เพื่อควบคุมมิให้พระสงฆ์ออกไปเรี่ยไรหรือประพฤติในทางอื่นที่ผิดไปจากสมณวิสัยนั้นนับว่าเป็นเจตนาที่ดี
แต่ประเด็นปัญหาที่ตามมาก็คือ การออกบัตร "สมาร์ทการ์ด"
ที่มีลักษณะคล้ายบัตรประชาชนแต่ไม่ใช่บัตรประชาชน จะทำให้คนไทยกลุ่มหนึ่ง
(ซึ่งมีจำนวนไม่น้อย) แม้จะอยู่ในประเทศเดียวกัน ภายใต้กฎหมายสูงสุดฉบับเดียวกัน
ถือบัตรประจำตัวที่แตกต่างไปจากคนไทยส่วนใหญ่ และได้รับสิทธิทางกฎหมายไม่เท่าเทียมกับคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ
แม้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ปี พ.ศ. 2540 ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว แต่คณะปฏิรูปการปกครองฯ
ก็ได้ให้คำมั่นสัญญาว่า จะร่างธรรมนูญการปกครองชั่วคราวให้เสร็จภายใน
2 สัปดาห์ และจะจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนบริหารประเทศ พร้อมไปกับการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรให้แล้วเสร็จใน
1 ปี หลังจากนั้นจะมีการเลือกตั้งทั่วประเทศ เพื่อจัดตั้งรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยตามปรกติต่อไป
ถ้าหากว่าทุกอย่างเป็นไปตามคำมั่นสัญญาของคณะปฏิรูปการปกครองฯ เราก็จะมีรัฐธรรมนูญฉบับถาวรอีกครั้งหนึ่ง
ภายในระยะเวลาประมาณ 1 ปีนับจากนี้
ถ้าหากว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศใช้ภายในปี 2550 บทบัญญัติต่างๆ
ที่เกี่ยวกับศาสนาก็คงจะเหมือนเดิมเป็นส่วนใหญ่ เพราะมิใช่เป็นประเด็นที่ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองในขณะนี้
และถ้าหากว่าบทบัญญัติทางด้านศาสนายังคงสาระเดิมไว้ ก็จะมีประเด็นที่น่าคิดเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของพระสงฆ์ในฐานะพลเมืองไทยอย่างหนึ่ง
และพระสงฆ์ในฐานะสมาชิกของคณะสงฆ์ไทยอีกอย่างหนึ่ง
หน่วยงานของรัฐบาลตีความสิทธิและหน้าที่ของพระสงฆ์ไม่ตรงกัน การตีความที่ไม่ตรงกันนี้น่าจะทำให้มีหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งของรัฐ
ตีความขัดต่อกฎหมายสูงสุดของประเทศ โดยกระทรวงกลาโหมตีความว่าพระสงฆ์คือประชาชนคนไทยคนหนึ่ง
ดังนั้นจึงต้องมีหน้าที่เข้ารายงานตัวและเกณฑ์ทหารเมื่ออายุครบเกณฑ์
แม้จะมีการผ่อนผันให้ แต่เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาของการผ่อนผันแล้ว พระสงฆ์รูปนั้นก็ต้องเข้าเกณฑ์ทหารอยู่ดี
ถือเป็นหน้าที่ของพลเมืองไทยทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด ซึ่งต้องทำหน้าที่รับใช้ชาติในการป้องกันประเทศ
แต่กระทรวงมหาดไทยตีความอีกอย่างหนึ่งว่า พระสงฆ์มิได้อยู่ในสถานะประชาชนไทยทั่วไปคนหนึ่ง
ดังนั้นสิทธิอันพึงมีพึงได้ของพระสงฆ์ในฐานะประชาชนก็มิควรได้รับ กล่าวคือ
พระสงฆ์ไม่มีสิทธิในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง หรือรับสมัครเลือกตั้ง
พระสงฆ์ไม่มีสิทธิได้รับบัตรประจำตัวประชาชน และสิทธิอื่นๆ อันเกิดขึ้นจากการถือบัตรประชาชน
เช่น การได้รับหนังสือเดินทางตามขั้นตอนปรกติของประชาชนทั่วไป เป็นต้น
นอกจากนี้กระทรวงมหาดไทยยังออกกฎระเบียบ อันน่าจะขัดต่อกฎหมายสูงสุดของประเทศว่า
ถ้าหากพระสงฆ์รูปใดเข้าไปในหน่วยราชการ เพื่อขอยื่นเรื่องให้ออกบัตรประชาชนให้
พระสงฆ์รูปนั้นจะต้องถูกจับสึกในทันที ระเบียบข้อนี้น่าจะขัดต่อกฎหมายสูงสุดอย่างร้ายแรง
พระสงฆ์ในฐานะประชาชนไทยคนหนึ่ง ต้องการถือบัตรประชาชนในฐานะพลเมืองของประเทศ
มีความผิดร้ายแรงถึงขั้นต้องให้ลาสิกขาบท อันเป็นความผิดร้ายแรงเทียบเท่ากับปาราชิก
ความลักหลั่นของการตีความสิทธิและหน้าที่ของพระสงฆ์ในฐานะพลเมืองไทยนั้น
ทำให้พระสงฆ์กลายเป็นบุคคลชั้นสามของประเทศ (สิทธิอันไม่เสมอภาคของสตรีเมื่อเทียบกับบุรุษ
ทำให้สตรีกลายเป็นพลเมืองชั้นสองของประเทศนี้) โดยพระสงฆ์มิได้รับสิทธิใดๆ
ในฐานะพลเมืองไทยแต่ประการใด แต่มีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติเท่ากับคนไทยทุกคน
(ดังเช่นการเกณฑ์ทหาร) พระสงฆ์จึงมีแต่หน้าที่แต่ขาดสิทธิในฐานะพลเมืองไทย
รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 มาตรา 38 (รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็จะต้องมีมาตรานี้ด้วยอย่างแน่นอน)
ระบุว่า "...บุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองมิให้รัฐกระทำการใดๆ
อันเป็นการรอนสิทธิหรือเสียประโยชน์อันควรมีควรได้เพราะเหตุที่ถือศาสนา
นิกายของศาสนา ลัทธินิยมในทางศาสนา หรือปฏิบัติตามศาสนบัญญัติหรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือ
แตกต่างจากบุคคลอื่น"
นักบวชในศาสนาอื่นๆ ที่เป็นพลเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นบาทหลวงในศาสนาคริสต์
หรือเจ้าหน้าที่ในศาสนาอิสลาม (เช่น อิหม่าม โต๊ะครู ฯลฯ) หรือผู้ประกาศศาสนาฮินดูหรือศาสนาสิกข์
อันเป็นศาสนาที่เป็นทางการของไทย ล้วนแล้วแต่ได้รับสิทธิในฐานะพลเมืองไทยทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นการมีสิทธิในการเลือกตั้ง หรือสมัครรับเลือกตั้ง สิทธิในการถือบัตรประชาชน
และสิทธิอื่นๆ ที่ตามมาจากการถือบัตรประชาชน แต่ทำไมพระสงฆ์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพลเมืองไทย
จึงมิได้รับสิทธิเทียบเท่ากับนักบวชในศาสนาอื่นของไทย ทั้งที่เป็นศาสนาที่เป็นทางการเช่นเดียวกัน
เรื่องนี้จะมิเป็นการขัดรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าวหรือไม่
ประเทศที่นับถือพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มี 5 ประเทศคือ
ศรีลังกา พม่า ไทย ลาว และกัมพูชา ในประเทศพุทธศาสนาเถรวาทดังกล่าวทั้งหมด
ยกเว้นไทยเพียงประเทศเดียว พระสงฆ์มีสิทธิเทียบเท่ากับพลเมืองของประเทศทุกประการ
กล่าวคือ พระสงฆ์มีสิทธิถือบัตรประชาชน และมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง
อันทำให้พุทธศาสนามีบทบาทในการควบคุมกำกับจริยธรรมของนักการเมือง ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ
ความข้อนี้ทำให้พุทธศาสนาในประเทศไทยล้าหลังกว่าในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเห็นได้ชัด
การถือใบสุทธิของพระสงฆ์นั้นเป็นสิ่งที่ดีและถูกต้องอยู่แล้ว เพราะใบสุทธิก็คือบัตรที่แสดงความเป็นสมาชิกของคณะสงฆ์ไทย
เช่นเดียวกับบัตรข้าราชการที่แสดงความเป็นสมาชิกของราชการไทย ขณะที่ข้าราชการไทยมีสิทธิในการถือบัตรข้าราชการและบัตรประชาชนในเวลาเดียวกัน
พระสงฆ์ไทยก็ควรจะมีสิทธิในการถือใบสุทธิและบัตรประชาชนเช่นเดียวกัน
การออกบัตร "สมาร์ทการ์ด" แก่พระสงฆ์ตามข้อเสนอของพระวินยาธิการนั้น
จึงน่าจะเป็นการออกทดแทนใบสุทธิ อันจะทำให้ใบสุทธิเป็นบัตรที่ทันสมัย
(บรรจุข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นสมาชิกคณะสงฆ์ไทยอย่างครบถ้วน) ขณะเดียวกันพระสงฆ์ก็ควรมีสิทธิถือบัตรประชาชนในฐานะพลเมืองไทยคนหนึ่งด้วย
ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
3. หนังสือเดินทางของพระสงฆ์
ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญไทยปี พ.ศ. 2540 ประชาชนได้รับสิทธิและเสรีภาพค่อนข้างกว้างขวางและครอบคลุม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิในการเดินทางออกนอกประเทศ. คนไทยที่ถือสัญชาติไทยทุกคนเพียงแต่มีบัตรประจำตัวประชาชน
และเงินค่าธรรมเนียม 1,000 บาท ก็สามารถไปยื่นเรื่องเพื่อขอรับหนังสือเดินทางที่มีอายุ
5 ปีได้จากกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว
เพียงไม่กี่วันบุคคลนั้น ก็จะได้รับหนังสือเดินทางอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน
ที่น่าแปลกใจก็คือ ขณะนี้ยังมีประชาชนไทยอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งมีจำนวนไม่น้อย
ถูกละเลยสิทธิขั้นพื้นฐานนี้ไป ด้วยเหตุผลเพียงว่าบุคคลเหล่านี้เป็น
"พระสงฆ์" ในพระพุทธศาสนา จึงต้องทำตามกฎข้อบังคับพิเศษของคณะสงฆ์ไทย
ก่อนที่จะไปยื่นเรื่องขอหนังสือเดินทางจากกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวคือ
พระสงฆ์ที่จะขอหนังสือเดินทางจะต้องยื่นเรื่องเพื่อขออนุมัติจากเจ้าอาวาสในวัดที่ตนสังกัดอยู่
หลังจากนั้นต้องยื่นเรื่องเพื่อขออนุมัติจากเจ้าคณะตำบล, เจ้าคณะอำเภอ,
เจ้าคณะจังหวัด, และเจ้าคณะภาคฯตามลำดับ, ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้กินเวลานานหลายเดือน
เนื่องจากตำแหน่งเจ้าคณะทั้งหมดนี้เป็นตัวบุคคล มิได้มีสำนักงานที่ชัดเจน
การเสนอเพื่อขอลายเซ็นอนุมัติจึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก
และมีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกปฏิเสธในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง ถ้าหากพระสงฆ์รูปนั้นไม่เป็นที่ต้องอัธยาศัยของเจ้าอาวาสหรือเจ้าคณะรูปใดรูปหนึ่งดังกล่าว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสงฆ์ที่มีทัศนะที่ก้าวหน้า ต้องการเห็นการปฏิรูปคณะสงฆ์ไทยไปในทิศทางที่ดีขึ้น
กล้าวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงสร้างสรรค์ หรือพระสงฆ์ที่ไม่เห็นด้วยกับการบริหารงานของเจ้าอาวาส
หรือผู้มีอำนาจในคณะสงฆ์ระดับใดระดับหนึ่ง หรือพระสงฆ์ที่ออกมาเปิดโปงความประพฤติมิชอบ
หรือความฉ้อฉลบางประการของผู้มีอำนาจบางรูปในคณะสงฆ์ ก็จะถูกปฏิเสธในการขอหนังสือเดินทาง.
ขั้นตอนการอนุมัติเพื่อขอหนังสือเดินทางจึงกลายเป็นอีกกลไกหนึ่ง ของผู้มีอำนาจในคณะสงฆ์ที่จะควบคุมพระสงฆ์ทั้งหลายให้อยู่ในอำนาจของตน
พระสงฆ์ที่ผ่านความยุ่งยากในการขอหนังสือเดินทางดังกล่าว และได้เดินทางไปต่างประเทศแล้ว
ยังประสบกับความยุ่งยากในการต่อหนังสือเดินทางอีกด้วย โดยปรกติแล้วคนไทยในต่างประเทศ
เมื่อหนังสือเดินทางหมดอายุลง ก็สามารถยื่นเรื่องขอต่ออายุหนังสือเดินทางไปอีก
5 ปีได้ที่สถานทูตไทยหรือสถานกงสุลไทยในประเทศนั้นๆ สำหรับพระภิกษุสามเณรแล้ว
หนังสือเดินทางมีอายุเพียง 2 ปีเท่านั้น เมื่อใกล้หมดอายุแล้วไม่สามารถต่ออายุที่สถานฑูตหรือกงสุลไทยในต่างประเทศได้
ต้องเดินทางกลับมาต่ออายุในประเทศไทยเพียงสถานเดียว และต้องมาเริ่มต้นกระบวนการอันยุ่งยากซับซ้อนนั้นใหม่ทั้งหมด
นับเป็นความสูญเสียทั้งในด้านค่าใช้จ่ายและในด้านโอกาสอย่างใหญ่หลวงทีเดียว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระภิกษุที่กำลังศึกษาอยู่ในต่างประเทศ ต้องเสียเงินค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับอีกรอบ
ต้องเสียเวลา และต้องเสี่ยงต่อการไม่ได้รับอนุมัติให้เดินทางกลับไปศึกษาต่อจนสำเร็จการศึกษาอีกด้วย
ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนมีตัวอย่างให้เห็นมาแล้ว
เหตุผลที่มหาเถรสมาคมนำมาใช้กล่าวอ้าง เพื่ออธิบายกฎข้อบังคับการขอหนังสือเดินทางที่สลับซับซ้อนของพระสงฆ์ไทยก็คือ
เพื่อป้องกันมิให้พระสงฆ์ไปทำความเสื่อมเสียแก่พระศาสนาในต่างประเทศ
เหตุผลดังกล่าวไม่น่าจะมีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะนำมาใช้ในการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของพระสงฆ์ในฐานะประชาชนไทยคนหนึ่ง
ซึ่งได้รับการคุ้มครองโดยบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖ ที่ว่า "รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้
บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้"
กฎของมหาเถรสมาคมว่าด้วย"เรื่องการทำหนังสือเดินทางของพระสงฆ์"
จึงน่าจะขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมิชอบด้วยกฎหมาย
มหาเถรสมาคมควรจะมีวิธีการที่ดีกว่านี้ ในการป้องกันปัญหาพระสงฆ์ไทยในต่างประเทศที่ประพฤติตนเสื่อมเสีย
ปัญหาพื้นฐานอันหนึ่งของคณะสงฆ์ไทยก็คือ คุณภาพของพระภิกษุสงฆ์ทั้งในด้านปริยัติ
(การศึกษาเชิงทฤษฎี) ปฏิบัติ (การปฏิบัติธรรม) และปฏิเวธ (มรรคผลที่ได้รับจากการปฏิบัติธรรม)
ถ้าหากมหาเถรสมาคมจะมาเข้มงวดกวดขันคณะสงฆ์ไทยในเรื่องที่เป็นเนื้อหาสาระเช่นนี้แล้ว
สังคมไทยก็จะมีพระภิกษุสามเณร (รวมทั้งภิกษุณีและสามเณรี) ที่มีคุณภาพ
ปัญหาพระสงฆ์ที่จะประพฤติเสื่อมเสียในต่างแดนก็จะหมดไป
หากกระทำได้เช่นนี้ กฎข้อบังคับอันขัดต่อรัฐธรรมนูญก็จะหมดความจำเป็นและยุติลง
กฎระเบียบของคณะสงฆ์ไทยก็จะสอดคล้องกับพระธรรมวินัยในพระพุทธศาสนา
และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยโดยสมบูรณ์
4. สามเณรีกับสิทธิทางกฎหมาย
เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พุทธศักราช 2547 ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้ทำบุญขึ้นบ้านใหม่
ณ บ้านเลขที่ 9/24 หมู่ที่ 5 ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
อาจจะนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาของไทย ที่พิธีทำบุญขึ้นบ้านใหม่ประกอบโดยคณะสงฆ์ฝ่ายหญิงล้วน
กล่าวคือ ภิกษุณี 1 รูปเป็นองค์ประธานในพิธี และสามเณรีอีก 4 รูปเป็นผู้ร่วมสวดมนต์ในพิธี
มีการอาราธนาศีลและให้ศีล การวงด้ายสายสินธุ์ การประพรมน้ำมนต์ การเจิมหน้าประตูทุกบานในบ้าน
และการสาธยายธรรม พิธีจบลงด้วยการถวายภัตตาหารเพล
จากนั้นข้าพเจ้าและภิกษุณีซึ่งเป็นชาวอเมริกัน ได้พาคณะสามเณรีไปยังสำนักงานฝ่ายหนังสือเดินทางของกระทรวงการต่างประเทศ
ที่ชั้น 8 ของอาคารสำนักงานเซ็นทรัลปิ่นเกล้า เพื่อทำหนังสือเดินทาง
อันเป็นจุดเริ่มต้นของแผนการเดินทางไปรับการฝึกอบรมธรรม ในวัฒนธรรมพุทธศาสนาเถรวาทที่ประเทศศรีลังกา
คณะสามเณรีได้เดินเรื่องตามกฎเกณฑ์ของสำนักงานทุกประการในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง
แต่แล้ววาทกรรมร่วมสมัยก็ได้บังเกิดขึ้นตามที่ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า
เมื่อคณะสามเณรีมาถึงฝ่ายตรวจสอบหลักฐาน เจ้าหน้าที่ได้ซักถามว่า "มาจากวัดไหน"
คณะสามเณรีมิได้ถือหนังสือสุทธิ แต่ถือบัตรประชาชนมาทำหนังสือเดินทางในฐานะประชาชนไทยคนหนึ่ง
จึงไม่จำเป็นต้องตอบคำถามดังกล่าวของเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ได้แสดงให้เห็นว่าพร้อมที่จะทำหนังสือเดินทางให้
โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องสวมเสื้อผ้าของฆราวาสทับจีวรพระในเวลาถ่ายรูปจึงจะอนุญาต
ข้าพเจ้าและภิกษุณีได้ซักถามเจ้าหน้าที่ถึงเหตุผล ก็ได้รับคำตอบว่าเจ้าหน้าที่ต้องทำตามระเบียบ
แต่เมื่อข้าพเจ้าและภิกษุณีขอดูระเบียบดังกล่าวที่เป็นลายลักษณ์อักษร
เจ้าหน้าที่ก็ไม่มีให้
ข้าพเจ้าได้โทรศัพท์ถึงวุฒิสมาชิก ระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช และ ดร.
สุธีรา วิจิตรานนท์ นายกสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีแห่งประเทศไทย โดยได้กล่าวถึงรัฐธรรมนูญไทยที่ได้ประกันสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาแก่ประชาชน
คนไทยทุกคนย่อมมีสิทธิแสดงออกถึงความเชื่อในทางศาสนาของตนได้โดยสงบและอย่างสันติ
การล่วงละเมิดสิทธิดังกล่าวย่อมขัดกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ในแง่ข้อเท็จจริงทางสังคมแล้ว คนไทยที่นับถือศาสนาอื่น ต่างก็แต่งกายตามความเชื่อทางศาสนาของตนในการทำหนังสือเดินทาง
เช่น เครื่องแบบของบาทหลวงชาวคริสต์คาทอลิก เครื่องแต่งกายของชาวมุสลิมชายที่สวมหมวกและไว้หนวดเครา
และมุสลิมหญิงที่มีผ้าคลุมศีรษะ ชาวซิกข์ที่โพกศีรษะตามความเชื่อทางศาสนาของตน
เป็นต้น ซึ่งก็ไม่เห็นว่ากระทรวงการต่างประเทศไปบังคับกะเกณฑ์อะไรกับบุคคลเหล่านั้น
แต่เมื่อมาถึงภิกษุณีหรือสามเณรีในพุทธศาสนา กลับไม่ยินยอมให้นุ่งห่มตามความเชื่อทางศาสนาของตน
นับเป็นการเลือกปฏิบัติอันขัดกับกฎหมายบ้านเมือง
อีกประการหนึ่งเป็นที่ทราบดีว่า ผู้หญิงไทยจำนวนหนึ่งเดินทางไปต่างประเทศเพื่อลักลอบประกอบอาชีพโสเภณี
กระทรวงการต่างประเทศก็คงออกหนังสือเดินทางให้ตามปรกติ ในฐานะประชาชนไทยคนหนึ่งโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ
แต่สำหรับผู้หญิงไทยที่นุ่งห่มชุดผู้ทรงศีล อันเป็นชุดของผู้ต้องการทำคุณงามความดี
กลับมีการตั้งข้อรังเกียจ จนถึงกับจะกะเกณฑ์ให้นำชุดของฆราวาสผู้ยังอยู่ในโลกียะมาสวมทับชุดอันเป็นสัญญลักษณ์ของโลกุตตระ
ถามว่าเหมาะสมเพียงใด และการที่สตรีนุ่งห่มชุดผู้ทรงศีลเดินทางออกนอกประเทศ
จะนำความอัปยศอดสูมาสู่ประเทศชาติหรือ การกีดกันสิทธิสตรีทางศาสนาต่างหาก
ที่จะนำความเสื่อมเสียมาสู่ชื่อเสียงของประเทศไทย
เมื่อข้าพเจ้าได้พูดคุยโทรศัพท์ด้วยเสียงอันดังฟังชัดดังนี้แล้ว ขณะนั้นเจ้าหน้าที่ได้โทรศัพท์ตามหาหัวหน้าสำนักงานหนังสือเดินทางให้มาแก้ไขสถานการณ์
เมื่อหัวหน้ามาถึง ก็ได้มีการปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียดพักใหญ่
แล้วในที่สุดประวัติศาสตร์บทใหม่ก็ได้เกิดขึ้น เมื่อหัวหน้าสำนักงานหนังสือเดินทางแห่งนั้นมีคำสั่งด้วยวาจา
อนุญาตให้สามเณรีถ่ายรูปติดบัตรหนังสือเดินทางด้วยชุดจีวรในพระพุทธศาสนา
นับได้ว่าหัวหน้าสำนักงานและเจ้าหน้าที่ฝ่ายออกหนังสือเดินทางทุกท่าน
รวมทั้งคณะภิกษุณีและสามเณรี ได้ร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการพระพุทธศาสนาในประเทศไทย
ตลอดประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาของไทย สถานภาพของสตรีในทางศาสนาไม่เคยได้รับการยอมรับใดๆ
ไม่ว่าในทางกฎหมายหรือในทางปฏิบัติจากหน่วยงานราชการต่างๆ แม้จะมีบันทึกทางประวัติศาสตร์ว่า
แม่ชีมีความเป็นมาในสังคมไทยอย่างน้อยนับได้กว่า 300 ปีก็ตาม แต่วัฒนธรรมเถรวาทของไทยและกฎหมาย
ก็ไม่เคยรับรองสถานภาพความเป็นนักบวชของแม่ชีแม้แต่ครั้งเดียว แม่ชีไม่มีสิทธิบิณฑบาตร
ไม่มีสิทธิรับเครื่องไทยทานที่มีผู้นำไปถวายที่วัด (แม้ว่ากว่า 80%
ของผู้ที่ไปทำบุญที่วัดจะเป็นผู้หญิงก็ตาม) แม่ชีจึงพึ่งตนเองไม่ได้ในด้านปัจจัยสี่เครื่องยังชีพ
ต้องพึ่งพิงพระภิกษุและรับใช้พระภิกษุ แม่ชีจึงอยู่ในวัดในฐานะเพียงเป็นผู้ขออาศัยเท่านั้น
ไม่มีสิทธิไม่มีเสียงใดๆ ทั้งสิ้น
แม่ชีต้องเผชิญกับการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมมาโดยตลอด
- กระทรวงคมนาคมตีความว่า แม่ชีมิได้เป็นนักบวช จึงต้องเสียค่าโดยสารทุกประเภทเต็มราคา
(ทั้งๆที่ไม่มีรายได้),
- กระทรวงมหาดไทยตีความว่า แม่ชีเป็นผู้ที่สละบ้านเรือน (แต่ก็ไม่ยอมรับว่าเป็นนักบวช)
จึงไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง,
- กระทรวงสาธารณสุขตีความว่าแม่ชีมิได้เป็นนักบวช จึงไม่มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลโดยไม่คิดมูลค่าในโรงพยาบาลของรัฐ
แต่แม่ชีส่วนใหญ่ไม่มีเงินรักษา จึงมักถูกจัดให้อยู่ในประเภทคนไข้อนาถา
ปัจจุบันมีแม่ชีในประเทศไทยจำนวนกว่า 10,000 รูป แม่ชีเหล่านี้เป็นประจักษ์พยานของความปรารถนาอันแรงกล้า
ของสตรีไทยจำนวนไม่น้อยที่ต้องการออกบวช เพื่อประพฤติพรหมจรรย์ ตามรอยพระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ความตื่นตัวด้านสิทธิสตรีในทางสากล และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ
"ภิกษุณี" ในสังคมไทยที่มีเพิ่มขึ้น ได้จุดประกายให้ผู้หญิงไทยจำนวนหนึ่ง
แม้จะน้อยนิด แต่ก็เป็นผู้ที่มีความกล้าหาญในทางจริยธรรม และกล้าหาญต่อหนทางแห่งสัจจะ
ได้ตัดสินใจออกบวชอย่างเต็มรูปแบบในฐานะ "สามเณรี" และ "ภิกษุณี"
เพื่อให้พุทธบริษัทสี่ อันได้แก่ ภิกษุ, ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา,
ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ดังเช่นในครั้งพุทธกาล สตรีเหล่านี้เปรียบเหมือนอิฐก้อนแรก
ที่ยอมเสียสละเพื่อปูทางให้อนุชนรุ่นหลังได้ก้าวเดินอย่างสะดวกยิ่งขึ้น
สตรีเหล่านี้จึงเป็นผู้กล้าหาญโดยแท้ สมควรแก่การยกย่องและอุปัฏฐากบำรุงในฐานะ
"เนื้อนาบุญ" ของโลกเคียงคู่กับภิกษุ
วันที่ 1 มิถุนายน พุทธศักราช 2547 คณะสามเณรีได้รับหนังสือเดินทาง
ที่มีรูปถ่ายในสมณเพศอย่างเต็มภาคภูมิ สามเณรีเหล่านี้ได้นำดอกกุหลาบไปมอบให้กับหัวหน้าและเจ้าหน้าที่สำนักงานหนังสือเดินทางทุกท่านเพื่อแสดงความขอบคุณ
นับได้ว่าคณะสามเณรีได้แสดงออกถึงความเข้มแข็งและความอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน
บทสรุป
ปัจจุบันรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนปี พ.ศ. 2540 ถูกยกเลิกโดย "คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"
ที่กระทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 รัฐบาลแต่งตั้งของพลเอก
สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้ให้สัญญากับประชาคมโลกในการประชุมเอเปค
(APEC) เมื่อวันที่ 18 - 19 พฤศจิกายน 2549 ที่เวียดนามว่า ไทยจะจัดให้มีการเลือกตั้งใหญ่ในปี
พ.ศ. 2550. ถ้าคำมั่นสัญญานี้เป็นจริง ก็จะต้องมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
เนื้อหาสาระของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควรจะมีโครงสร้างคล้ายกับรัฐธรรมนูญฉบับปี
พ.ศ. 2540 โดยแก้ไขจุดอ่อนในประเด็นการซื้อสิทธิ์ขายเสียง และประเด็นการแทรกแซงองค์กรอิสระจากรัฐ
ในส่วนประเด็นที่เกี่ยวกับศาสนานั้นควรจะระบุให้ชัดเจนว่า "พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ"
อันสะท้อนข้อเท็จจริงในทางประวัติศาสตร์ของประเทศไทย (ศรีลังกา พม่า
ลาว กัมพูชา ซึ่งเป็นประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาท ล้วนแล้วแต่ปกป้องพระพุทธศาสนาโดยระบุข้อความดังกล่าวในรัฐธรรมนูญของตนทั้งสิ้น)
แต่ถ้าหากข้อความดังกล่าวมิได้ถูกระบุไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ประเทศไทยก็ควรจะแยกรัฐและศาสนาออกจากกันให้ชัดเจน
โดยการยกเลิกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ และพระราชบัญญัติอิสลามเสีย เพื่อให้ศาสนากลับคืนสู่ประชาชนและชุมชน
โดยพระมหากษัตริย์ (สัญลักษณ์ของรัฐในประวัติศาสตร์) จะทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภกที่จะคอยดูแลและอุปถัมภ์ค้ำจุนศาสนาจักรดังเช่นครั้งในอดีต
ความสัมพันธ์สามเส้าระหว่างพระมหากษัตริย์ พระสงฆ์ และประชาชน ซึ่งยังความเข้มแข็งแก่พระพุทธศาสนาของไทยมาตลอด
2,000 กว่าปี ก็จะหวนกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้สิทธิทางกฎหมายของพระสงฆ์และสามเณร
ตลอดทั้งภิกษุณี สามเณรี และแม่ชี ก็จะกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่งโดยปริยาย
Create Date : 15 พฤศจิกายน
2552
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2552
ที่มา.-http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=khunz&date=15-11-2009&group=10&gblog=10
*******************
|