ทยอยย้ายสิ่งของเครื่องใช้สำนักงานออกจากฐานที่ตั้งเดิมกันอย่างขะมักเขม้น
สำหรับข้าราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อไปปักหลักทำงานกันต่อที่พุทธมณฑล
ช่วงนี้ท่านที่ต้องไปติดต่อประสานงานที่สำนักงานพระพุทธฯ แม้ไม่ต้องสังเกตก็คงเห็น
ว่าสำนักงานพระพุทธฯ ตอนนี้ฝุ่นตลบอบอวลไม่จาง เจ้าหน้าที่แต่ละคนยังง่วนอยู่กับการเก็บข้าวของส่วนรวมและส่วนตัว
ภาพที่เห็นภายในห้องทำงานจึงเหต็มไปด้วยกำแพงกล่องบรรจุสิ่งของที่พะเนินเทินทึกเพื่อรอการขนย้าย
แต่อีกไม่นานหลังจากที่ไปอยู่พุทธมณฑลแล้ว ทุกอย่างจะต้องเข้าที่เข้าทางอย่างเป็นระบบที่สุด
ก่อนที่เวลานั้นจะมาถึง มาทำความรู้จักกับ "พุทธมณฑล" กันก่อน
ผ่านไปบนถนนพุทธมณฑลสาย
๔ แม้จะมองเข้าไปใน "สำนักงานพุทธมณฑล" แบบไม่มีวัตถุประสงค์แน่ชัดในการมองก็คงรู้สึกได้ว่ามีเขียวฉ่ำ
ๆ ผ่านตาเป็นทางยาว แต่หากตั้งใจมองสักนิดก็ไม่ยากเลยที่จะเห็นพระปฏิมาปางลีลาขนาดสูงใหญ่สีเข้มขลังตัดสีท้องฟ้า
นั่นคือพระประธานพุทธมณฑลนามพระราชทานว่า พระศรีศากยะทศพลญาณ ประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์
ศูนย์รวมจิตใจชาวพุทธทั่วทุกสารทิศ
ย้อนรอยพุทธมณฑล
เริ่มต้นจากดำริการจัดสร้างของ ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ต้องการให้มีอนุสรณ์สถานเพื่อเป็นสัญลักษณ์ฉลอง
๒๕ พุทธศตวรรษ คือ กึ่งหนึ่งของพุทธกาล เพราะเชื่อกันว่า ในกัลป์นี้พระพุทธศาสนาเรามีอายุห้าพันปี
จึงต้องการที่จะจัดสร้างพุทธมณฑลให้เสร็จทัน พ.ศ. ๒๕๐๐ ในกาลนั้น ได้กราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เสด็จทรงประกอบพิธีก่อพระฤกษ์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๘ คือเตรียมการก่อน
๒ ปี ช่วงนั้นมีปัญหาในเรื่องงบประมาณ ที่ดินสำหรับก่อสร้างเพื่อให้พุทธมณฑลมีพื้นที่
๒,๕๐๐ ไร่
ดังนั้นที่ดินส่วนใหญ่ที่ได้จึงเป็นพื้นที่ พระราชทาน เป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดินให้ประกอบกับรัฐบาลได้ประกาศเวนคืนและจัดซื้อที่ดินจากชาวบ้านเพื่อให้พื้นที่ทั้งหมดรวมแล้วครบ
๒,๕๐๐ ไร่ ตาม จำนวนปี พ.ศ. จึงได้ออกมาเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้าง
๒ ก.ม. ยาว ๒ ก.ม. จากนั้นเริ่มวางผัง โดยในระยะแรกรัฐบาลได้ร่วมมือกับประชาชน
มีหัวเรือใหญ่คือกระทรวงมหาดไทย กรมโยธาธิการ แต่เนื่องจากขาดแคลนเรื่องบประมาณ
จึงชะงักงันไประยะหนึ่ง โครงการนี้ฟื้นขึ้นมาใหม่หลังจากนั้นเกือบ
๒๐ ปี คือเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๑ สมัยพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เป็นนายกรัฐมนตรี
เปิดฉากเร่งระดมทุกหน่วยงานและประชาสัมพันธ์ไปทั่วในนามรัฐบาลเพื่อที่จะสร้างพุทธมณฑลให้สำเร็จให้ได้
เริ่มขุดดินขึ้นมาถมเพื่อปรับสภาพพื้นที่จากเดิมเคยเป็นที่ลุ่มและเป็นนาข้าวทำผัง
เพื่อขุดคูคลองโอบล้อมรอบพุทธมณฑล กว้าง ๕๐ เมตร ลึก ๕ เมตร ยาว ๗
ก.ม. มีการออกแบบสวนที่สวยงามสำหรับพุทธมณฑล ระดมการปลูกต้นไม้ จนมีสภาพร่มรื่นอย่างผิดหูผิดตา
จากนั้นกระทรวงมหาดไทยและคณะกรรมการได้พิจารณาว่าพุทธมณฑลเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับทางศาสนา
จึงน่าจะให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงอย่างกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการในเวลานั้นเข้าไปดูแล
ต่อมาเมื่อมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.
๒๕๔๕ มีผลให้พุทธมณฑลเปลี่ยนมาอยู่ในการดูแลของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งในปัจจุบัน
พุทธมณฑลในแนวดำริของ
ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องการให้เป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนาของประเทศไทย
และหวังลึก ๆ ว่าอยากให้เป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนาของโลก มั่นใจเช่นนั้นเพราะไม่มีดินแดนในโลกที่จะมีประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธอยู่อย่างหนาแน่นถึง
๙๕ % อย่างประเทศไทย ฉะนั้นจึงน่าจะเป็นศูนย์กลางของโลกได้
นอกจากนั้นพุทธมณฑลยังจะต้องเป็นศูนย์กลางการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการพระพุทธศาสนา
เห็นได้ว่ามีการก่อสร้างหอสมุดพระพุทธศาสนามหาสิรินาถ สร้างพิพิธภัณฑ์
สร้างสังเวชนียสถาน ๔ ตำบล คือ ตำบลประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และเสด็จดับขันปรินิพพาน
มีศาสนสถานที่สำคัญ ได้แก่ พระวิหารพุทธมณฑล หอพระไตรปิฎกหินอ่อน ตำหนักสมเด็จพระสังฆราช
ที่พนักสงฆ์อาคันตุกะ ศาลาปฏิบัติกรรมฐาน เป็นต้น
นอกจากนั้นยังเป็นศูนย์รวมจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา
เช่น งานมาฆบูชา วิสาขบูชา อาสาฬหบูชา เป็นประจำทุกปี เป็นสถานที่ระดมความคิดจากการจัดประชุมสัมมนาทางวิชาการ
พระพุทธศาสนา
ดังนั้น
จะเห็นได้ว่าพุทธมณฑลเป็นแหล่งเรียนรู้ทางพระพุทธศาสนาในรูปแบบบูรณาการใต้หลังคาและใต้ร่มไม้เข้าด้วยกัน
ที่สำคัญไม่น้อยคือเป็นปอดของคนจำนวนมากที่เข้าไปใช้สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ
กล่าวได้ไม่หมดสำหรับคุณค่าของพุทธมณฑล
แต่นี่คือความหลากหลายและความเป็นมาพอสังเขป เพื่อฉายรวม ๆ ของพุทธมณฑลให้ผู้คนมองเห็น
ก่อนจะได้เห็นหน้าค่าตาเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติที่นั้น
หนังสือพิมพ์ข่าวสด
วันศุกร์ที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๔๑
|