‘จริยธรรม’ เป็นปัญหาหลักของสังคมปัจจุบัน
โดย สุรพศ ทวีศักดิ์


 

            ระยะสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวดังสองข่าวที่ทำให้สื่อโฟกัสปัญหาจริยธรรม คือ ข่าวเกี่ยวกับผลวิจัยเรื่อง "เด็กไทยใกล้เป็นโจร" ของ อาจารย์สมพงษ์ จิตระดับ กับข่าวเรื่อง "หมอฆ่าหมอ"

            ที่น่าสังเกตคือข่าวเรื่อง "ปุ๋ยปลอม" สื่อจะมองเป็นประเด็นปัญหาทางการเมืองมากว่าปัญหาทางจริยธรรม ยิ่งผลสำรวจของสถาบันพระปกเกล้าฯ ที่ชี้ว่าเอ็นจีโอ และสื่อมวลชนได้รับความเชื่อถือจากสังคมในระดับท้ายๆ ยิ่งไม่มีใครมองว่าเป็นปัญหาทางจริยธรรมกันเลย

            บทความนี้ต้องการวิเคราะห์ปัญหาเหล่านี้ในเชิงจริยธรรม และต้องการชี้ให้เห็นว่าที่ปัญหาจริยธรรมในบ้านเรารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กำลังกลายเป็นปัญหาที่มองไม่เห็นทางออกสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะทรรศนะเรื่องจริยธรรมของสังคมเราแคบและคลุมเครือ

            สังคมไทยมักมองจริยธรรมในสามลักษณะคือ มองว่าเป็นเรื่องนามธรรม เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของปัจเจกบุคคล และเน้นจริยธรรมเชิงลบ

            ทำไมจึงไม่เคยมีรัฐบาลใดถือว่าปัญหาจริยธรรมเป็นปัญหาหลักของสังคมเหมือนปัญหาทางเศรษฐกิจการเมือง ถ้าไม่ใช่เพราะมองเรื่องจริยธรรมเป็นนามธรรมที่มองผลลัพธ์ที่เกิดแก่สังคมได้ไม่ชัดเจน และสังคมก็ยินดีที่จะเลือก "ประสิทธิภาพ" มากกว่าที่จะเลือก "ความซื่อสัตย์"

            ทำไมกรณีหมอฆ่าหมอสังคมจึงมองว่าเป็นเรื่องของตัวบุคคล ไม่เกี่ยวกับสถาบัน ไม่ใช่เพราะมองว่าจริยธรรมขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของแต่ละบุคคล แล้วถามต่อว่าทำไมกรณีหมอฆ่าหมอที่มีการวางแผนอย่างแยบยลจึงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า สถาบันผลิตหมอจะไม่ตรวจสอบเรื่องการปลูกฝังจริยธรรมแก่คนที่มาเป็นหมอเลยหรือ

            และถ้าเหตุผลที่คนในสังคมไม่เชื่อถือสื่อและเอ็นจีโอ เป็นเพราะการทำงานตรวจสอบของสื่อและเอ็นจีโอก่อให้เกิดความขัดแย้ง จะเป็นไปได้ไหมว่าสังคมยังรับไม่ได้กับ "จริยธรรมตรวจสอบ" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจริยธรรมเชิงบวก

            น่าแปลกที่สังคมไทยเป็นสังคมพุทธแต่มีมุมมองเรื่องจริยธรรมต่างจากหลักการของพุทธศาสนาค่อนข้างมาก

            ในหลักคำสอนของพุทธศาสนา "จริยธรรม" หมายถึง "ความประพฤติในแนวทางที่ถูกต้องดีงาม" ซึ่งแสดงออกทางกาย วาจา ใจ จะเห็นได้ว่าความประพฤติที่แสดงออกสองทางแรกนั้นเป็นรูปธรรมมีผลต่อตัวผู้ประพฤติ คนอื่น และสังคมที่สามารถวัดได้ การประกาศสงครามกับคอร์รัปชั่นเป็นจริยธรรมทางวาจาที่ส่งผลดีในทางจิตวิทยาสังคม ถ้าปราบคอร์รัปชั่นได้จริงตามที่พูดผลดียิ่งจะเกิดต่อสังคมอย่างมหาศาล ทั้งในแง่รักษาเงินภาษีของประชาชนและการสร้างแบบอย่างที่ดีแก่ลูกหลาน

            สำนึกทางจริยธรรมแม้จะเกิดในจิตของแต่ละบุคคล แต่พุทธศาสนามองว่าสรรพสิ่งล้วนมีเหตุปัจจัย สำนึกทางจริยธรรมจึงไม่ได้เกิดในสุญญากาศ แต่เป็นผลมาจากกระบวนการขัดเกลาทางสังคม กรณีหมอฆ่าหมอ เด็กไทยใกล้เป็นโจร หรือแม้แต่ปุ๋ยปลอม เราจะปฏิเสธว่าไม่ใช่ผลผลิตของสังคมไทยไม่ได้เลย เพราะในที่สุดมันโยงถึงกระบวนการขัดเกลาทางสังคมทั้งหมด นับตั้งแต่สถาบันครอบครัวที่ขาดความอบอุ่น การจัดการศึกษาที่เน้นการแข่งขัน มุ่งชัยชนะจนแพ้ไม่เป็น เป็นการศึกษาเพื่อมีอาชีพ มีเงินทอง มีหน้ามีตาทางสังคมมากกว่าที่จะช่วยให้เข้าใจคุณค่าความหมายของความเป็นมนุษย์ รวมถึงกระบวนการตรวจสอบทางสังคมที่พิกลพิการ

            หลักการทางจริยธรรมทางพุทธมีสองส่วนคือ การไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ซึ่งเป็นจริยธรรมเชิงลบ และการสร้างสรรค์ประโยชน์สุขแก่ตนเองและผู้อื่นหรือส่วนรวม ซึ่งเป็นจริยธรรมเชิงบวก

            เรื่องของศีลต่างๆ เช่น ศีล 5 เป็นต้น ก็เป็นเรื่องของการประพฤติที่ไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่น ซึ่งเป็นจริยธรรมขั้นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันในสังคม หรือเป็นข้อเรียกร้องให้เคารพต่อสิทธิ ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์

            โดยทั่วไปสังคมไทยจะคุ้นเคยกับจริยธรรมเชิงลบมากกว่า ทั้งโดยการอบรมสั่งสอน และการมองภาพของคนที่มีจริยธรรม เช่น เมื่อพูดถึงเรื่องจริยธรรม(หรือศีลธรรม) เรามักจะพูดถึงการงดเว้น กฎ หรือข้อห้าม แต่ไม่ค่อยเน้นเรื่องการสร้างสรรค์ประโยชน์สุขต่อส่วนรวม และภาพของคนมีจริยธรรมหรือคนธรรมะธัมโมในความรู้สึกของเราคือคนดีในความหมายแบบปัจเจก เช่น ซื่อสัตย์ ขยันทำมาหากิจ ไม่มีเรื่องทะเลาะกับใคร ประสบผลสำเร็จในชีวิตการงานและครอบครัว แต่ไม่มองคนที่ออกมาต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับสังคมในภาพของคนที่มีคุณธรรมจริยธรรม

            ที่น่าเศร้าคือ สังคมเรายังรู้สึกแปลกแยกต่อคนที่มีอุดมการณ์อุทิศตนเพื่อส่วนร่วม ดังประวัติศาสตร์บอกว่า คนมีอุดมการณ์ในบ้านเราถูกทำลายไปคนแล้วคนเหล่า จนส่งผลต่อการทำลายจิตวิญญาณแห่งอุดมการณ์ให้หมดสิ้นไปในสังคมปัจจุบัน คนในสังคมจึงรู้สึกแปลกแยกกับบทบาทการตรวจสอบของสื่อมวลชนและเอ็นจีโอ ทั้งที่บทบาทการตรวจสอบคือจริยธรรมเชิงบวกที่เป็นการสร้างสรรค์ประโยชน์สุขต่อสังคมตามนัยแห่งหลักจริยธรรมของศาสนาพุทธซึ่งคนไทยส่วนใหญ่นับถือ

            ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยต้องหันมาทบทวนทรรศนะทางจริยธรรมเสียใหม่ เราต้องถือว่าปัญหาจริยธรรมเป็นปัญหาหลักของสังคมที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าปัญหาเศรษฐกิจการเมืองและต้องหันไปหาความหมายและหลักการทางจริยธรรมแบบพุทธแท้ๆ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาจริยธรรมเชิงบวกมากขึ้น(เช่น ความซื่อสัตย์ ความเมตตากรุณา ความเสียสละ จิตสำนึกเพื่อส่วนรวม ฯลฯ) และบูรณาการกับจริยธรรมสากล(เช่น จริยธรรมตรวจสอบ การเคารพสิทธิมนุษยชน เสรีภาพ ความยุติธรรม ฯลฯ)

            ไม่ควรมองเรื่องจริยธรรมเพียงในมิติของนามธรรม หรือเพียงจิตสำนึกของปัจเจกเท่านั้น แต่ต้องมองจริยธรรมในรูปของกระบวนการขัดเกลาทางสังคม ซึ่งมีองค์ประกอบในการพัฒนาจริยธรรมที่หลากหลายซับซ้อน มากกว่าการอบรมสั่งสอนในห้องเรียนหรือในวัด

ที่มา: นสพ.มติชน 23 พ.ย.45


*******************

กลับไปหน้า Web วัดท่าไทร
ไป Web สำนักงานเจ้าคณะภาค ๑๖

ไป Web ศูนย์พัฒนาคุณธรรมภาคใต้
ไป Web วิทยุชุมชนตำบลท่าทองใหม่
ไป Web ชมรมวีอาร์ร้อยเกาะสุราษฎร์ธานี