พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ที่จะช่วยให้พระพุทธศาสนาพ้นภัย
โดย พระธรรมปิฎก


พ.ร.บ.คณะสงฆ์ จะไม่มีความหมาย
ถ้าไม่เป็นฐานรองรับธรรมวินัย และไม่เป็นประกันให้พระเณรเจริญในไตรสิกขา

            พระธรรมวินัยเป็นเนื้อเป็นตัวของพระพุทธศาสนา ตัวแท้ของพระพุทธศาสนา อยู่ที่พระธรรมวินัย จะรักษาพระพุทธศาสนาก็ต้องรักษาพระธรรมวินัย และยึดเอาพระธรรมวินัยเป็นหลักเกณฑ์ของพระพุทธศาสนา เราจะรักษาพระธรรมวินัย และเอาพระธรรมวินัยมาตั้งเป็นหลักเป็นเกณฑ์ได้อย่างไร ก็ต้องมีการศึกษาเล่าเรียน เมื่อเล่าเรียนก็รู้ เมื่อรู้แล้วนำมาปฏิบัติ พระธรรมวินัยก็ปรากฏออกมาในการประพฤติปฏิบัตินั้น เช่น ในจริยาวัตรของพระเณรเป็นต้น และเมื่อคนประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่พระเณรนำมาสั่งสอน ประชาชนก็จะได้ประโยชน์จากพระพุทธศาสนา เช่นทำให้สังคมดีมีศีลธรรม อยู่กันสงบเรียบร้อยร่มเย็นเป็นสุข และชีวิตพัฒนาดียิ่งขึ้นไป

            ถ้าตัวเราเองไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย แต่ช่วยสนับสนุนพระเณรให้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย ก็เท่ากับช่วยรักษาสืบต่อพระพุทธศาสนา ยิ่งถ้าตัวเองก็ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยด้วย สนับสนุนผู้อื่นด้วย ก็ประเสริฐที่สุด

            พระพุทธเจ้าทรงปกครองคณะสงฆ์ในสมัยพุทธกาล ทรงจัดตั้งวางระเบียบต่าง ๆ ก็เพื่อให้พุทธบริษัท คือพระสงฆ์และประชาชน ได้ประโยชน์จากพระธรรมวินัยที่พระองค์ได้ทรงสั่งสอนพูดง่าย ๆ ว่าคนทั้งหลายจะมาเอาพระธรรมวินัยจากพระองค์ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงจัดระเบียบพระสงฆ์ และวัดวาอารามให้มั่นใจว่า พุทธบริษัททุกคนจะได้ธรรมวินัยไปอย่างดีที่สุด เรียกว่าพระธรรมวินัยนั่นแหละเป็นเป้าหมายของการปกครองคณะสงฆ์ และก็เป็นหลักเป็นเกณฑ์ในการจัดการปกครองนั้นด้วย คนจะได้ประโยชน์จากพระพุทธศาสนา คือจากพระธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน ก็ด้วยการศึกษาเล่าเรียนประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยนั้น ที่ท่านเรียกว่าไตรสิกขา ให้พระเณรเป็นต้น เจริญในศีล สมาธิ ปัญญา

            ถ้าจัดการปกครอง จัดระเบียบพระสงฆ์และวัดวาอาราม ให้เป็นเครื่องกำกับหรือเกื้อหนุนให้พระเณรได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย จนมั่นใจได้ว่า พระเณรเหล่านั้นจะเจริญงอกงามในศีล สมาธิ ปัญญา และสามารถมาสอนประชาชนให้รู้เข้าใจประพฤติปฏิบัติในทาน ศีล ภาวนา ดำเนินชีวิตให้ดีงาม และช่วยกันสร้างสรรค์สังคมได้ ก็พูดได้ว่า การปกครองคณะสงฆ์และการจัดตั้งวางระเบียบการคณะสงฆ์นั้นประสบความสำเร็จ

            แต่ถ้าปกครองกันไปแล้ว จัดตั้งวางระเบียบไปแล้ว ไม่เกิดผลตามนี้ ไม่ว่าจะมีวัตถุ อาคาร สถานที่ หรืออะไร ๆ มากมายเพิ่มขึ้นมา หรือแม้แต่ลงโทษคนร้ายได้เฉียบขาดรุนแรง ก็ต้องพูดว่าเป็นความล้มเหลว

            เวลานี้พูดกันว่า จะแก้ไขพ.ร.บ.คณะสงฆ์ จะออกกฎหมายคณะสงฆ์ใหม่ ก็ควรจะมีความชัดเจนว่า จะออกกฎหมายมาเพื่ออะไร จะปกครองเพื่ออะไร จะจัดระเบียบการคณะสงฆ์เพื่ออะไร

            ถ้าต้องการจัดการปกครองคณะสงฆ์ เพื่อดำรงรักษาพระพุทธศาสนา เพื่อให้พระพุทธศาสนาปรากฏ และให้พระพุทธศาสนาเกิดประโยชน์แก่ชีวิตแก่สังคมประเทศชาติ พ.ร.บ. หรือกฎหมายคณะสงฆ์นั้นก็ต้องมีพระธรรมวินัยเป็นหลักเป็นเป้าหมาย

            กฎหมายจะต้องเป็นเครื่องมือที่จะรองรับพระธรรมวินัย และเป็นหลักประกันที่จะให้พระธรรมวินัยโดดเด่นออกมาเป็นหลักเป็นเกณฑ์ และออกมาสู่การรู้เข้าใจ และการประพฤติปฏิบัติของพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนทั้งปวง

            พร้อมกันนั้น พ.ร.บ. หรือกฎหมายคณะสงฆ์ ก็จะต้องเป็นเครื่องกำกับ และเป็นหลักประกันให้พุทธบริษัท โดยเฉพาะพระภิกษุสามเณร ได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยที่เป็นเนื้อตัวของพระพุทธศาสนานั้น และมีความประพฤติศีลาจารวัตร มีจิตสำนึก มีคุณธรรม มีปัญญารู้เข้าใจเจริญงอกงามขึ้นมา เป็นพระเณรที่ดีมีคุณภาพ สามารถทำหน้าที่ต่อพุทธบริษัท ด้วยการให้ธรรมแก่ชาวบ้าน หรือใช้วัดเป็นที่บำเพ็ญประโยชน์แก่ญาติโยมประชาชนตามหลักธรรมทานได้ พูดง่าย ๆ ว่า พ.ร.บ.คณะสงฆ์ต้องช่วยกำกับให้พุทธบริษัทเจริญในไตรสิกขา คือ ทำให้พระธรรมวินัยเกิดประโยชน์แก่ชีวิต และสังคมประเทศชาติ ด้วยไตรสิกขา อย่างน้อย ง่ายและสั้นที่สุดว่า ถ้า พ.ร.บ. หรือกฎหมายคณะสงฆ์นี้ จะเป็นเครื่องกำกับ และเป็นหลักประกันให้การคณะสงฆ์ไทยทั้งหมดยังเป็นระบบการ “บวชเรียน” คือ บวชเพื่อเรียนหรือบวชแล้วต้องศึกษาปฏิบัติตามพระธรรมวินัย แค่นี้ การออก พ.ร.บ. คณะสงฆ์นั้นก็คุ้มค่า บรรลุวัตถุประสงค์

            แต่ถ้าไม่เกิดผลอย่างนี้ ถึงจะตรากฎหมายให้วิจิตรพิสดารเพียงใด ก็ต้องพูดว่าล้มเหลว ไร้ความหมาย ที่ว่าให้ พ.ร.บ. คณะสงฆ์เป็นหลักประกันระบบการบวชเรียนนั้น จะต้องเน้น และทำให้มั่นใจว่า จะต้องให้มาตรการนี้เกิดขึ้นที่วัดซึ่งอยู่กับชุมชนเล็กน้อยทั้งหลายที่กระจายอยู่ทั่วประเทศไทยนี้

            ความสำเร็จของ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ วัดได้ตรงนี้ คือที่วัดและชุมชนหน่วยย่อย ๆ ทุกตำบลหมู่บ้าน ถ้าฟื้นฟูวัดและชุมชนทั้งหลายขึ้นมาสู่พระธรรมวินัย และไตรสิกขาได้เมืองไทยจะกลายเป็นประเทศพัฒนาที่แท้อย่างแน่นอน เวลานี้ รู้กันดีว่า พระเณรมากมายหรือจะว่าส่วนใหญ่ก็ได้ไม่รู้ธรรมวินัย ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร ว่าเชื่อถือหรือประพฤติปฏิบัติอย่างไรเป็นพระพุทธศาสนา ที่เราว่าการเรียนการท่องจำได้อย่างนกแก้วนกขุนทอง เป็นการศึกษาที่ไม่ดี แต่เวลานี้ ถ้าพระเณรไทยส่วนใหญ่จำคำสอนของพระพุทธเจ้าได้บ้าง แม้เพียงอย่างนกแก้วนกขุนทอง ก็ต้องนับว่าดีมากทีเดียว (อย่าดูถูกการเป็นนกแก้วนกขุนทองให้เกินไปนัก แม้นกแก้วนกขุนทองจะพูดแจ้วโดยไม่รู้ความหมาย แต่ก็ช่วยเตือนสติเจ้าของได้และทำให้ขโมยที่แอบเข้ามาชะงักไปหน่อยเหมือนกัน)

            สรุปว่า กฎหมายคณะสงฆ์ โดยเฉพาะ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ จะต้องเป็นฐานรองรับให้พระธรรมวินัยปรากฏโดดเด่นขึ้นมาเป็นหลักของพระพุทธศาสนา และเป็นเครื่องกำกับให้พระภิกษุสามเณรที่บวชเข้ามาแล้ว ได้เจริญงอกงามในศีล สมาธิ ปัญญา ตามหลักไตรสิกขา สามารถสั่งสอนธรรม นำประชาชนให้พัฒนาชีวิต และสังคมประเทศชาติสู่ความเจริญมั่นคง และประโยชน์สุขที่แท้จริงยั่งยืน

            พูดอย่างสั้นว่า พ.ร.บ.คณะสงฆ์ต้องเป็นฐานรองรับพระธรรมวินัย กำกับพระเณรให้เจริญในไตรสิกขา และทำวัดให้เป็นแหล่งแผ่ธรรมขยายปัญญาสู่ชุมชน


*******************

กลับไปหน้า Web วัดท่าไทร
ไป Web สำนักงานเจ้าคณะภาค ๑๖

ไป Web ศูนย์พัฒนาคุณธรรมภาคใต้
ไป Web วิทยุชุมชนตำบลท่าทองใหม่
ไป Web ชมรมวีอาร์ร้อยเกาะสุราษฎร์ธานี