นับตั้งแต่การออกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับแรกในปี
พ.ศ. ๒๔๔๕ (ร.ศ. ๑๒๑) จนถึงบัดนี้นับได้ ๑๐๐ ปีเต็ม ถ้าหาก พ.ร.บ.
คณะสงฆ์ที่ผ่านมา ดำเนินไปในทิศทางที่ถูกต้องตามที่ควรจะเป็น และยังความรุ่งเรืองให้แก่พระพุทธศาสนาแล้ว
เราคงจะได้เฉลิมฉลองวาระครบรอบ ๑๐๐ ปีกันอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ แต่ในโอกาสครบรอบ
๑๐๐ ปีในปีนี้ พ.ร.บ. คณะสงฆ์กลับนำความแตกแยกและความยุ่งยากมาสู่ชาวพุทธในสังคมไทย
คำถามที่ตามมาก็คือเกิดอะไรขึ้นแก่พระพุทธศาสนาของไทยในรอบ ๑๐๐ ปีที่ผ่านมา
ผู้เขียนขอมอง
พ.ร.บ. คณะสงฆ์ที่ผ่านมาทั้งอดีตและปัจจุบันใน ๓ บริบทคือ (๑) พ.ร.บ.
คณะสงฆ์ในบริบทของสังคมไทย (๒) พ.ร.บ. คณะสงฆ์ในบริบทของคณะสงฆ์ และ
(๓) พ.ร.บ. คณะสงฆ์ในบริบทของภัยคุกคามจากภายนอก ขณะเดียวกันก็นำเสนอแนวความคิดเกี่ยวกับ
พ.ร.บ. คณะสงฆ์ที่พึงปรารถนาเป็น ๒ แนวทางคือ (๔) พ.ร.บ. พุทธบริษัทสี่
และ (๕) การคืนอำนาจแก่ประชาชน โดยจะวิเคราะห์ว่า พ.ร.บ. คณะสงฆ์ทั้งหมดดังกล่าว
จะส่งผลอย่างไรต่ออนาคตพระพุทธศาสนาของไทย
พ.ร.บ.สงฆ์ในบริบทของสังคมไทย
ก่อนที่จะมีการออก
พ.ร.บ.สงฆ์ฉบับแรกนั้น พระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองอยู่บนผืนแผ่นดินไทยมานานกว่า
๒,๐๐๐ ปีโดยไม่มีกฎหมายใด ๆ รองรับ ปัจจัยสำคัญแห่งความเจริญรุ่งเรืองดังกล่าวมาจาก
ความสัมพันธ์ ๓ เส้า ที่ได้สมดุลกันคือ พระสงฆ์ ประชาชน และรัฐ ในอดีตนั้นประชาชนหรือชุมชนควบคุมพระสงฆ์ในเชิงวัตถุ
เช่น ประชาชนเป็นผู้ที่สร้างวัดให้แก่พระสงฆ์ที่ตนเคารพนับถือ บำรุงพระภิกษุสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบด้วยวัตถุปัจจัยต่าง
ๆ หากพระสงฆ์รูปใดประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัย ประชาชนในชุมชนนั้นเมื่อทราบก็จะถอนการอุปัฏฐากบำรุงเลี้ยง
พระสงฆ์รูปนั้นก็ไม่อาจจะอยู่ในชุมชนนั้นได้อีก ต้องสึกหาลาเพศไปตามแต่กรณี
นี้เป็นอำนาจการตรวจสอบของประชาชนที่มีต่อพระสงฆ์
ขณะเดียวกันพระสงฆ์ควบคุมประชาชนในเชิงจิตใจ
หมายความว่าพระสงฆ์มีหน้าที่หลักคือศึกษาและปฏิบัติธรรม แล้วนำความรู้ที่ได้นั้นมาสั่งสอนชี้แนะแก่ประชาชน
ว่ากล่าวตักเตือนประชาชนมิให้ประพฤติตนเสื่อมเสีย ประชาชนที่ถูกพระสงฆ์ติเตียนก็จะได้สำนึกกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี
พระสงฆ์จึงควบคุมประชาชนในเชิงจิตใจ ส่วนเรื่องสถานที่ปฏิบัติธรรม
ปัจจัยสี่ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ นั้น ประชาชนเป็นผู้จัดหาให้
มิใช่กิจของสงฆ์ที่จะแข่งขันกันสร้างวัตถุ หรือสะสมทรัพย์สินใด ๆ
ส่วนรัฐนั้นมีหน้าที่ในการปกป้องภัยอันจะเกิดแก่พระพุทธศาสนา
ภัยของพระพุทธศาสนามีทั้งจากภายในและภายนอก ภัยภายในก็คือเมื่อมีผู้ปลอมปนมาบวชเป็นพระภิกษุเพื่อแสวงหาลาภสักการะ
ประพฤติตนเป็นที่เสื่อมเสีย รัฐมีหน้าที่โดยตรงในการขจัดภัยเหล่านั้น
โดยการเข้าไปตรวจสอบ วินิจฉัย และจับสึกเมื่อผิดจริง ดังเช่นที่พระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดีย
และพระมหากษัตริย์แห่งสยามในครั้งอดีตได้ทรงปฏิบัติเป็นตัวอย่างไว้แล้ว
ส่วนภัยภายนอกก็คือการคุกคามจากศาสนาหรือลัทธิความเชื่ออื่น ในอันที่จะบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาให้เสื่อมสูญไปทั้งทางตรงและทางอ้อม
รัฐนั้นจะต้องมีความเข้มแข็งเด็ดขาดในการขจัดภัยจากศาสนาอื่นหรือลัทธิความเชื่ออื่นเหล่านั้น
และกำหราบให้เข็ดขยาดมิให้มากล้ำกรายพระพุทธศาสนาได้อีก
การประกาศใช้
พ.ร.บ.สงฆ์ ทั้ง ๓ ฉบับที่ผ่านมา ได้นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่รากฐานของพระพุทธศาสนาในสังคมไทยอย่างใหญ่หลวง
มีการนำ ระบบราชการ ซึ่งมีการบังคับบัญชาตามลำดับชั้นมาใช้อย่างเคร่งครัด
การให้คุณให้โทษแก่พระสงฆ์ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจในคณะสงฆ์ตามลำดับชั้น
มิได้อยู่ที่ประชาชนในชุมชนอีกต่อไป และรัฐก็มิได้ทำหน้าที่ตรวจสอบคณะสงฆ์และปกป้องภัยของพระพุทธศาสนาดังเดิม
แต่กลับทำหน้าที่เป็นเพียง เลขานุการ ของคณะสงฆ์เท่านั้น ทำให้ ความสัมพันธ์
๓ เส้า ระหว่างประชาชน พระสงฆ์ และรัฐ ซึ่งแต่เดิมมีความสมดุลและทำหน้าที่ตรวจสอบซึ่งกันและกัน
ต้องแตกสลายลง
เมื่อประชาชนไม่อาจควบคุมพระสงฆ์ในเชิงวัตถุได้อีก
เวลามีพระสงฆ์ที่ประพฤติมิชอบเกิดขึ้น แม้ประชาชนจะรวมตัวกันต่อต้านคัดค้านพระสงฆ์ที่ต้องอธิกรณ์นั้น
แต่ถ้าผู้บังคับบัญชาปกป้อง พระสงฆ์รูปนั้นก็ยังคงอยู่ได้ ส่วนรัฐเองก็ไม่อาจขจัดภัยที่เกิดขึ้นภายในคณะสงฆ์เองและภัยจากภายนอกได้
เพราะ พ.ร.บ.สงฆ์ ทั้ง ๓ ฉบับยกสงฆ์ให้เป็นใหญ่ในกิจการพระพุทธศาสนาทั้งปวง
รัฐเป็นเพียงเลขานุการ และประชาชนถูกกีดกันให้อยู่วงนอก ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้
คณะสงฆ์เติบโตขึ้นโดยปราศจากการถ่วงดุลและการตรวจสอบทั้งจากภาคประชาชนและรัฐ
ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมถอยลงตามลำดับในรอบ ๑๐๐ ปีที่ผ่านมา
พ.ร.บ.สงฆ์ในบริบทคณะสงฆ์
การปฏิรูปพระพุทธศาสนาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
(รัชกาลที่ ๔) นั้น นอกจากการตีความคำสอนของพระพุทธศาสนาด้วยระบบเหตุผลนิยม
(Rationalism) แล้ว ยังมีการจัดตั้งองค์กรการปกครองสงฆ์ขึ้นเป็นครั้งแรกอีกด้วย
โดยให้เป็นไปตามแบบอย่างของฝ่ายอาณาจักร กล่าวคืออาณาจักรมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขสูงสุด
ทำหน้าที่ปกครองประชาชนทั่วประเทศ ศาสนจักรก็มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประมุขสูงสุด
ทำหน้าที่ปกครองพระสงฆ์ทั่วประเทศเช่นเดียวกัน แต่พระมหากษัตริย์ทรงมีเหล่าขุนนางทำหน้าที่ช่วยในการปกครอง
ฝ่ายศาสนจักรขาดส่วนนี้ไป รัชกาลที่ ๔ จึงทรงจัดตั้ง ธรรมยุติกนิกาย
ขึ้น โดยทรงชักชวนลูกขุนนางให้เข้ามาบวช เพื่อทำหน้าที่ช่วยสมเด็จพระสังฆราชในการปกครองพระสงฆ์
(ซึ่งเป็นลูกชาวบ้าน) ทั่วประเทศ นิกายธรรมยุติซึ่งเป็นพระสงฆ์ส่วนน้อยจึงได้อภิสิทธิ์เหนือ
มหานิกาย ซึ่งเป็นพระสงฆ์ส่วนใหญ่นับแต่นั้นเป็นต้นมา
พ.ร.บ.สงฆ์
นับตั้งแต่แรกเริ่มนั้นเน้นการปกครองภายในของคณะสงฆ์เป็นส่วนใหญ ่โดยตัดส่วนที่เป็นภาคประชาชนหรือชุมชนออกไป
ส่วนภาครัฐนั้นเพียงแต่คงพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชเท่านั้น
เพิ่งจะมาถูกริดรอนพระราชอำนาจนี้ไปในการแก้ไข พ.ร.บ. สงฆ์ ฉบับที่
๓ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ นี้เอง นับแต่นั้นมา ความสัมพันธ์ ๓ เส้า จึงสูญหายไปจนหมดสิ้น
คณะสงฆ์จึงเติบโตขึ้นอย่างเอกเทศโดยปราศจากการตรวจสอบทั้งจากภาครัฐและประชาชน
ระยะหลังยิ่งมีการรวบอำนาจในคณะสงฆ์มากขึ้นเท่าใด โดยพระหนุ่มเณรน้อยและพระสงฆ์ส่วนใหญ่ของประะเทศมิได้มีส่วนร่วมในการปกครองอยู่ด้วย
คณะสงฆ์ก็ยิ่งเติบโต (แต่ส่วนบน) อย่างโดดเดี่ยวมากขึ้นเท่านั้น ปัญหาและภัยคุกคามพระพุทธศาสนา
ทั้งจากภายในและจากภายนอกมิได้รับการแก้ไข ทำให้พระพุทธศาสนาในสังคมไทยเสื่อมลงโดยลำดับ
พ.ร.บ.
สงฆ์ ฉบับที่ ๑
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับแรกประกาศใช้ในปี
พ.ศ. ๒๔๔๕ (ร.ศ. ๑๒๑) สมัยรัชกาลที่ ๕ ท่ามกลางการปฏิรูปทางการเมือง
เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมซึ่งรวมศูนย์ที่ส่วนกลาง ก่อนหน้านั้นท้องถิ่นของไทยค่อนข้างมีอิสระ
มีเจ้าเมืองซึ่งเป็นคนท้องถิ่นปกครอง เพียงแต่สวามิภักดิ์และส่งส่วยให้แก่กรุงเทพฯเท่านั้น
การปฏิรูปในรัชกาลที่ ๕ ทำให้ท้องถิ่นของไทยต้องขึ้นต่อกรุงเทพฯ โดยตรง
มีการส่งเจ้านายจากกรุงเทพฯ ไปเป็นเจ้าเมืองปกครองหัวเมืองต่าง ๆ การพึ่งพาตนเองทั้งด้านการเมือง
เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมในท้องถิ่นค่อย ๆ หมดไป
การรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางในครั้งนั้น
ผลดีก็คือทำให้ประเทศชาติเกิดความเป็นปึกแผ่น มีเอกภาพภายใต้การนำของพระมหากษัตริย์ไทย
ซึ่งต่างจากกรณีของพม่าที่มิได้มีการรวมศูนย์ในยุคนั้น ทำให้บ้านเมืองแตกแยกเป็นก๊กเป็นเหล่ามากมายในเวลาต่อมา
กลายเป็นปัญหากระทั่งถึงปัจจุบัน ส่วนผลเสียก็คือระบบรวมศูนย์อำนาจไว้ที่กรุงเทพฯมากจนเกินไปนั้น
ขัดต่อหลักการ ประชาธิปไตย และ ประชาสังคม ในเวลาต่อมา และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชนบทไทยล่มสลาย
พ.ร.บ.
สงฆ์ ฉบับที่ ๑ สอดคล้องกับการปกครองในระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์
ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจสูงสุดในการปกครอง ข้อดีของ พ.ร.บ. สงฆ์
ฉบับนี้ก็คือ คณะสงฆ์รวมกันเป็นปึกแผ่นภายใต้การบังคับบัญชาที่ชัดเจนของสมเด็จพระสังฆราช
ให้วัดเป็นศูนย์กลางของการจัดการศึกษาแก่ประชาชนทั่วประเทศ โดยให้พระสงฆ์เป็นครูสอนหนังสือแก่นักเรียนทั่วประเทศ
ทำให้พระพุทธศาสนากับการศึกษารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ยังผลให้เกิดศีลธรรมจรรยาที่ดีงามในหมู่ประชาชนทั้งหลาย
ส่วนข้อเสียของ พ.ร.บ. สงฆ์ ฉบับนี้ก็คือ การนำเอา ระบบราชการ เข้ามาใช้ในคณะสงฆ์เป็นครั้งแรก
การให้คุณให้โทษแก่พระสงฆ์ขึ้นอยู่กับผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น มิได้ขึ้นอยู่กับประชาชนหรือชุมชนอีกต่อไป
ทำให้ ความสัมพันธ์ ๓ เส้า ระหว่างประชาชน พระสงฆ์ และรัฐ สูญเสียไปเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
พ.ร.บ.
สงฆ์ ฉบับที่ ๒
พ.ร.บ.
สงฆ์ ฉบับที่ ๒ ซึ่งประกาศใช้ในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ สมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามนั้น
สอดคล้องกับการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
แม้ว่าจอมพล ป. จะเป็นทหารและบางครั้งจะปกครองด้วยการใช้อำนาจก็ตาม
แต่ด้วยจิตใจแบบ คณะราษฎร์ จอมพล ป. จะใช้รูปแบบ ประชาธิปไตย ที่มีรัฐสภาในการปกครองเสมอ
พ.ร.บ. สงฆ์ ฉบับนี้จึงสะท้อนถึงรูปแบบการปกครองของฝ่ายอาณาจักรอย่างชัดเจน
เนื้อหาใน
พ.ร.บ. สงฆ์ ฉบับนี้แบ่งอำนาจออกเป็น ๓ ส่วนคือ
๑.
สังฆสภา
ทำหน้าที่นิติบัญญัติคล้ายรัฐสภา สมาชิกสังฆสภามาจากการสรรหาและแต่งตั้ง
๒.
สังฆนายก
ทำหน้าที่ประมุขฝ่ายบริหารคล้ายนายกรัฐมนตรี มี คณะสังฆมนตรี ทำหน้าที่คล้ายรัฐมนตรี
ปกครอง องค์การ (คล้ายกระทรวง) ต่าง ๆ ๔ องค์การดังนี้
ก.
องค์การปกครอง
ข. องค์การศึกษา
ค. องค์การเผยแผ่
ง. องค์การสาธารณูปการ
๓.
คณะวินัยธร
ทำหน้าที่ตัดสินคดีความคล้ายฝ่ายตุลาการ ประกอบด้วยศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์
และศาลฎีกา
ข้อดีของ
พ.ร.บ. สงฆ์ ฉบับนี้ก็คือ มีการกระจายอำนาจในการปกครองคณะสงฆ์ พระหนุ่มเณรน้อยหรือพระสงฆ์ชั้นผู้น้อยพอมีปากเสียงในการปกครองอยู่บ้าง
และปัญหาภายในคณะสงฆ์ก็ได้รับการแก้ไขพอประมาณ ตามกระบวนการของ ประชาธิปไตย
ในฝ่ายสงฆ์ ส่วนข้อเสียของ พ.ร.บ. สงฆ์ ฉบับนี้ก็คือ กระบวนการตรวจสอบอำนาจนั้นไปกระทำภายในบริบทของคณะสงฆ์เท่านั้น
มิได้ขยายมาสู่ ความสัมพันธ์ ๓ เส้า ระหว่างประชาชน พระสงฆ์ และรัฐ
ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญแห่งความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา ทำให้พระพุทธศาสนาไม่อาจหวนกลับคืนมาสู่ความรุ่งเรืองได้ดังในครั้งอดีต
พ.ร.บ.
สงฆ์ ฉบับที่ ๓
การกระทำรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์
ธนะรัชต์ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ได้นำประเทศไทยเข้าสู่ยุคมืดแห่งการปกครองในระบอบเผด็จการทหาร
หลังจากที่ได้ทำลายสถาบันประชาธิปไตยในฝ่ายอาณาจักรจนหมดสิ้นแล้ว จอมพลสฤษดิ์จึงเริ่มหันมาทำลายระบอบประชาธิปไตยในฝ่ายศาสนจักร
โดยการฉีก พ.ร.บ. สงฆ์ ฉบับที่ ๒ ซึ่งมีเนื้อหาเป็นประชาธิปไตยทิ้ง
แล้วประกาศใช้ พ.ร.บ. สงฆ์ ฉบับที่ ๓ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งมีเนื้อหาสอดคล้องกับการปกครองในระบอบ
เผด็จการทหาร ของตนแทน
โครงสร้างของ
พ.ร.บ. สงฆ์ ฉบับที่ ๓ เป็นการรวบอำนาจภายในคณะสงฆ์ไว้ที่ มหาเถรสมาคม
ซึ่งเป็นกลุ่มพระราชาคณะอาวุโสที่ได้รับการแต่งตั้งจำนวน ๒๐ กว่ารูป
โดยมีสมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นประมุขสูงสุด ทำหน้าที่ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ
ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการพร้อมกันไป ปกครองพระภิกษุสงฆ์ทั่วประเทศ
นับเป็นการปกครองในระบอบ คณาธิปไตย ภายในคณะสงฆ์นับตั้งแต่นั้นมากระทั่งถึงปัจจุบัน
ข้อดีของ
พ.ร.บ. สงฆ์ ฉบับที่ ๓ นี้ก็คือ พระมหากษัตริย์ยังทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช
นับว่า (ประมุขแห่ง) รัฐยังคงมีอำนาจการตรวจสอบคณะสงฆ์ในระดับหนึ่ง
ส่วนข้อเสียของ พ.ร.บ. สงฆ์ ฉบับนี้ก็คือ คณะสงฆ์เติบโตโดยปราศจากการถ่วงดุลและการตรวจสอบจากภาคประชาชนและภาครัฐ
ประชาชนและพระสงฆ์ชั้นผู้น้อยไม่มีสิทธิ์เสียงในการตรวจสอบการใช้อำนาจในคณะสงฆ์
และในกิจการพระพุทธศาสนาทั้งปวง ส่งผลให้ผู้มีอำนาจในคณะสงฆ์มั่งคั่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
แต่พระเถระผู้มีอำนาจซึ่งส่วนใหญ่ชราภาพแล้ว ไม่อาจแก้ปัญหาภายในของคณะสงฆ์
รวมทั้งภัยคุกคามพระพุทธศาสนาทั้งจากภายในและจากภายนอกได้เลย ส่งผลกระทบให้พระพุทธศาสนาโดยรวมเสื่อมถอยลงเป็นลำดับ
เมื่อครั้งที่คณะ
รักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (ร.ส.ช.) กระทำรัฐประหารและแต่งตั้งนายอานันท์
ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราวภายใต้ระบอบเผด็จการทหารนั้น มีการแก้ไข
พ.ร.บ. สงฆ์ ฉบับที่ ๓ บางมาตราในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ สาระสำคัญของการแก้ไขก็คือ
แต่เดิมการเลื่อนตำแหน่งบริหารของพระราชาคณะด้วยการพิจารณา อาวุโสโดยพรรษา
ถูกแทนที่ด้วย อาวุโสโดยสมณศักดิ์ ผลที่ติดตามมาก็คือ มหาเถรสมาคมซึ่งเป็นผู้พิจารณาการแต่งตั้งสมณศักดิ์
เป็นผู้เสนอพระราชาคณะที่ อาวุโสโดยสมณศักดิ์ สูงสุดเพียงรูปเดียว
ขึ้นทูลเกล้าให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ
มหาเถรสมาคม ได้สร้างระเบียบกฎเกณฑ์ขึ้นมา เพื่อริดรอนพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทยอันมีมาแต่ครั้งโบราณ
ในการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช โดยในทางปฏิบัติแล้วมหาเถรสมาคมเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชเสียเอง
พ.ร.บ.
สงฆ์ ฉบับปี พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๓๕ จึงเป็น พ.ร.บ. สงฆ์
ฉบับเผด็จการเต็มรูปแบบ ซึ่งนอกจากภาคประชาชนและพระสงฆ์ชั้นผู้น้อยทั่วประเทศจะไม่มีส่วนร่วมเลยนั้น
ยังได้ตัดฟางเส้นสุดท้ายของภาครัฐในการตรวจสอบคณะสงฆ์ออกไปด้วย นั่นคือ
พระราชอำนาจของพระประมุขแห่งรัฐในการแต่งตั้งพระประมุขแห่งพุทธจักรไทย
ทำให้ ความสมพันธ์ ๓ เส้า ระหว่างประชาชน พระสงฆ์ และรัฐ แตกสลายออกเป็น
๓ เสี่ยงอย่างสมบูรณ์ โดยไม่มีส่วนเชื่อมโยงกันอีกเลย
พ.ร.บ.สงฆ์ในบริบทภัยคุกคามจากภายนอก
ในอดีตที่ผ่านมา
พระพุทธศาสนาต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากภายนอกที่มาในรูปแบบต่าง ๆ หลายครั้งหลายหนตลอดประวัติศาสตร์
ทำให้พระพุทธศาสนาสูญสิ้นไปในดินแดนหลายแห่ง รวมทั้งในดินแดนซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนาเอง
ภัยคุกคามนี้มาจากศาสนาและลัทธิความเชื่ออื่น ซึ่งมองพระพุทธศาสนาเป็นคู่แข่งหรือศัตรู
จึงจ้องทำลายพระพุทธศาสนาทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรงก็คือการเข้ารุกรานทำลายพระพุทธศาสนา
ซึ่งเป็นศาสนาแห่งสันติ ด้วยความเหี้ยมโหดป่าเถื่อนแห่งอำนาจทางทหาร
หรือการยึดอำนาจในรัฐพระพุทธศาสนาและสถาปนาศาสนาอื่นขึ้นแทนที่ ส่วนทางอ้อมก็คือการตีความบิดเบือนคำสอนในพระพุทธศาสนาให้เป็นคล้ายดังศาสนาอื่น
และถูกศาสนาอื่นกลืนไปในที่สุด
๑.
การตีความลัทธิคำสอน
เมื่อครั้งที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองอยู่ในอินเดียนั้น
มีพราหมณ์จำนวนมากเข้ามาบวชเรียนในพระพุทธศาสนา พรามหณ์จำนวนหนึ่งเข้ามาบวชด้วยความเลื่อมใสศรัทธาในคำสอนของพระสมณโคดม
และกลายเป็นกำลังสำคัญของพระพุทธศาสนาในที่สุด ส่วนพราหมณ์อีกจำนวนหนึ่งเข้ามาบวชเพื่อศึกษาจุดอ่อนจุดแข็งของพระพุทธศาสนา
แล้วนำกลับไปปรับปรุงศาสนาพราหมณ์จนกลายเป็น ศาสนาฮินดู ที่มีคำสอนที่ลึกซึ้งกว่าเดิม
เพื่อมาแข่งกับพระพุทธศาสนา ต่อมาเมื่อชาวพุทธในอินเดียเกิดความประมาท
หันเหออกจาก หลักการพึ่งตนเอง ไปพึ่งพาอำนาจศักดิ์สิทธิ์ภายนอก พวกพราหมณ์จึงสบโอกาสหยิบยื่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง
ๆ ในศาสนาฮินดูให้ พร้อมทั้งตีความบิดเบือนว่า นิพพาน ไม่ต่างไปจาก
อาตมัน (หรือ อัตตา ตัวตนที่แท้จริง) และพระพุทธเจ้าเป็นเพียงอวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์เท่านั้น
ในที่สุดพระพุทธศาสนาก็สูญสิ้นไปจากอินเดียแผ่นดินอันเป็นแหล่งกำเนิดนั้นเอง
๒.
การรุกรานด้วยกำลังทหาร
เมื่อครั้งที่พระพุทธศาสนาได้แพร่หลายโดยสันติวิธี
และเจริญรุ่งเรืองอยู่ในเอเชียกลางเป็นเวลานับพันปีนั้น มีการสร้างโบราณสถานและโบราณวัตถุทางพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก
(ที่หลงเหลือมาถึงปัจจุบันก็ได้แก่ พระพุทธรูปหินสลักที่สูงที่สุดในโลก
ที่เทือกเขาบามิยันในประเทศอัฟกานิสถาน ซึ่งเพิ่งถูกอดีตรัฐบาลทาลีบันทำลายลงเมื่อเร็ว
ๆ นี้ ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากอารยประเทศทั่วโลก เป็นต้น) จนกระทั่งกองทัพอิสลามได้ใช้กำลังทหารเข้ารุกรานดินแดนเอเชียกลางทั้งหมด
รวมทั้งรุกรานตอนเหนือของอินเดีย มีการเผาทำลายวัดวาอารามในพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก
ที่น่าสลดใจที่สุดก็คือ การเข่นฆ่าพระภิกษุในพระพุทธศาสนา การเผาทำลายมหาวิทยาลัยนาลันทา
และห้องสมุดที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นสถานที่เก็บรวบรวมหนังสืออันทรงคุณค่าทางปรัชญาและศาสนาเป็นจำนวนมาก
ทำให้พระพุทธศาสนาสูญสิ้นไปจากดินแดนเอเชียกลางและทางเหนือของอินเดียอย่างรวดเร็ว
๓.
การยึดอำนาจรัฐ
อาณาจักรศรีวิชัย
ซึ่งมีอาณาเขตนับตั้งแต่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานีของไทยลงไปจรดแหลมมาลายู
รวมทั้งหมู่เกาะสุมาตราและหมู่เกาะชวาทั้งหมดนั้น ครั้งหนึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองด้วยพระพุทธศาสนา
มีประจักษ์พยานสำคัญคือ บรมพุทโธ โบราณสถานทางพระพุทธศาสนาอันเก่าแก่ในเกาะชวา
(ปัจจุบันสหประชาชาติกำลังเข้าไปบูรณะฟื้นฟูในฐานะที่เป็นมรดกโลก)
รวมทั้งโบราณสถานและโบราณวัตถุทางพระพุทธศาสนาอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก
พระมหากษัตริย์ผู้ปกครองอาณาจักรศรีวิชัยแต่เดิมนั้นทรงเป็นพุทธมามกะ
ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองอยู่ในอาณาจักรศรีวิชัยติดต่อกันหลายรัชสมัย
ต่อมาเมื่อผู้เลื่อมใสในศาสนาอื่นเข้ายึดกุมอำนาจการปกครองได้สำเร็จ
และได้สถาปนาศาสนาอื่นขึ้นแทนที่ พระพุทธศาสนาจึงต้องถึงกาลเสื่อมสูญไปจากอาณาจักรศรีวิชัยอย่างรวดเร็ว
คงเหลือแต่ดินแดนทางตอนเหนือ อันเป็นอาณาเขตของประเทศไทยในปัจจุบันเท่านั้น
ที่ยังคงรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้
บทเรียนประวัติศาสตร์ดังกล่าว
จะต้องถูกนำมาพิจารณาในการร่าง พ.ร.บ. คณะสงฆ์ หรือ พ.ร.บ. พระพุทธศาสนาฉบับใหม่
เพื่อเป็นการปกป้องพระพุทธศาสนาจากภัยคุกคามเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรุกทางวัฒนธรรม
เช่น การตีความบิดเบือนคำสอน การใช้ศัพท์บัญญัติ รูปแบบประเพณีวัฒนธรรมชาวพุทธของศาสนาอื่น
เป็นต้น และการรุกทางนิติบัญญัติ เพื่อการเข้ายึดกุมอำนาจรัฐของศาสนิกในศาสนาอื่น
รวมทั้งภัยที่มาในอีกหลากหลายรูปแบบ สิ่งเหล่านี้ควรที่ชาวพุทธในทุกหมู่เหล่าทั้งพระสงฆ์
ประชาชน และรัฐจะร่วมมือกัน เพื่อยกร่าง พ.ร.บ. พุทธบริษัทสี่ หรือ
พ.ร.บ. พระพุทธศาสนาแห่งชาติฉบับใหม่ขึ้น เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปพระพุทธศาสนา
ให้สามารถแก้ปัญหาและขจัดภัยคุกคามทั้งจากภายในและจากภายนอก รวมทั้งเผชิญกับความท้าทายอย่างใหม่
ๆ ของยุคสมัยปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้
พ.ร.บ. พุทธบริษัทสี่
สาระสำคัญของการยกร่าง
พ.ร.บ. พุทธบริษัทสี่ หรือ พ.ร.บ. พระพุทธศาสนาแห่งชาตินั้น อยู่ที่โครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน
พระสงฆ์ และรัฐ อันเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญสามประการ กล่าวคือ
รัฐนั้นจะต้องถอนคืนระบบราชการออกจากคณะสงฆ์
ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาโดยองค์รวมอยู่ห่าง ๆ โดยการจัดสรรงบประมาณให้
และปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาจากปัญหาภายใน เช่น การขจัดผู้ปลอมปนมาบวช
และการตรวจสอบพระสงฆ์ที่ต้องอธิกรณ์ เป็นต้น อีกทั้งปกป้องคุ้มครองอารักขาพระพุทธศาสนาจากปัญหาที่มาจากภายนอก
เช่น สงคราม การรุกเชิงนิติบัญญัติและการรุกเชิงวัฒนธรรมเพื่อยึดกุมพื้นที่ของพระพุทธศาสนา
หรือการรุกรานบ่อนทำลายในรูปแบบต่าง ๆ เป็นต้น ส่วนการบริหารจัดการภายในของพระพุทธศาสนานั้น
พุทธบริษัทสี่ อันได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ควรจะได้รับโอกาสให้สามารถดูแลกันเอง
โดยหลักการที่ถูกต้องแล้ว
ประชาชนควรจะสามารถควบคุมพระสงฆ์ได้ในเชิงชีวิตความเป็นอยู่ทางร่างกาย
เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค รวมทั้งการก่อสร้างศาสนสถานและศาสนวัตถุ
เป็นต้น ประชาชนควรจะได้เป็นผู้คัดเลือกพระภิกษุสามเณรที่จะมาพำนักอยู่ในวัด
หรือสำนักสงฆ์ในชุมชนของตน ประชาชนควรจะเป็นผู้คัดเลือกพระอุปัชฌาย์
เจ้าอาวาส รวมทั้งเป็นผู้ยกย่องพระภิกษุสงฆ์ด้วยการเสนอสมณศักดิ์ต่าง
ๆ ให้ (ถ้าหากจะคงระบบสมณศักดิ์ไว้)
ส่วนพระสงฆ์นั้นมีหน้าที่หลักคือการศึกษาพระธรรมวินัยและประพฤติปฏิบัติธรรม
สั่งสอนประชาชนในด้านศีลธรรมและสัจธรรม เป็นที่พึ่งทางจิตใจแก่ประชาชน
และอาจเป็นผู้นำของประชาชนในการแก้ไขปัญหาสังคมต่าง ๆ เช่น ปัญหาความยากจนในชนบท
ปัญหายาเสพติด ปัญหาโรคเอดส์ และอื่น ๆ รวมทั้งเป็นผู้นำทางสติปัญญา
โดยการชี้นำสังคมและโลกให้ออกจากวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ตามหลักการของพระพุทธศาสนา
เป็นต้น
เนื้อหาสาระของ
พ.ร.บ. พุทธบริษัทสี่ นั้น จะต้องมีพระธรรมวินัยเป็นหลักการอันสำคัญ
โดยมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่พระนิพพาน พระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นผู้แต่งตั้งองค์สมเด็จพระสังฆราช
ตามราชประเพณีที่เคยปฏิบัติมาตั้งแต่ครั้งอดีต ส่วนโครงสร้างของ พ.ร.บ.
พุทธบริษัทสี่ จะเน้นความเป็น ประชาสังคม (Civil Society) กล่าวคือ
การกระจายอำนาจ และระบบการตรวจสอบซึ่งกันและกัน ในหมู่พุทธบริษัทสี่ทั้งฝ่ายบรรพชิตและฆราวาส
โดยแบ่งอำนาจออกเป็น ๓ ฝ่ายคือ สภาพุทธบริษัท คณะบริหารการพระพุทธศาสนา
และคณะวินัยธร ดังนี้
๑.
สภาพุทธบริษัท
สภาพุทธบริษัท
(ส่วนกลาง) ประกอบด้วย พุทธศาสนิกสภา หรือสภาล่าง มี อุบาสก และอุบาสิกา
(รวมทั้งแม่ชี) ประกอบขึ้นเป็นสมาชิกสภา โดยสัดส่วนของเพศชายและเพศหญิงในสภานี้
แต่ละเพศไม่เกิน ๒ ใน ๓ ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด ที่มาของสมาชิกสภาล่างนี้อาจมาจากการเลือกตั้งโดยตรง
หรือจากการสมัครและเลือกตั้งกันเองจากผู้สมัครทั้งหมด (แบบ ส.ส.ร.)
โดยมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ ๔ ปี หน้าที่ของ พุทธศาสนิกสภา คือการออกกฎระเบียบโดยรวม
เพื่อความเจริญรุ่งเรืองแห่งพระพุทธศาสนา และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของพุทธบริษัทสี่
ส่วน
สังฆสภา นั้นทำหน้าที่เป็นสภาสูง สมาชิกสภาประกอบด้วยภิกษุ (และภิกษุณี
ถ้าหากจะมีในวันข้างหน้า) ที่มาของสภาสูงนี้อาจมาจากการเลือกตั้ง หรือจากการสมัครและเลือกตั้งกันเองจากผู้สมัครทั้งหมด
หรือจากการสรรหา สุดแล้วแต่ความเหมาะสม ทั้งนี้ควรจะพิจารณาความรู้ความสามารถเป็นเกณฑ์
ไม่ใช้ระบบสมณศักดิ์ ระบบอาวุโสโดยพรรษา หรือระบบอาวุโสโดยสมณศักดิ์
เป็นเกณฑ์ มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ ๔ ปี หน้าที่ของ สังฆสภา คือ
การกลั่นกรองกฎระเบียบที่สภาล่างเป็นผู้เสนอ
นอกจากนี้
ยังอาจจัดตั้งสภาพุทธบริษัทในระดับจังหวัด ระดับอำเภอ ระดับตำบล และระดับหมู่บ้านได้อีกด้วย
โดยมีโครงสร้างในทำนองเดียวกับสภาพุทธบริษัทส่วนกลาง ทำหน้าที่พิจารณาปัญหาระดับท้องถิ่น
และออกกฎระเบียบที่เหมาะสมกับชุมชนท้องถิ่นของตน
๒.
คณะบริหารการพระพุทธศาสนา
คณะบริหารการพระพุทธศาสนา
ควรเป็นหน้าที่ของฝ่ายฆราวาสมากกว่า ตามหลักการที่ว่า ประชาชนควบคุมพระสงฆ์ในทางวัตถุ
(ทางโลก หรือการบริหารจัดการองค์การ) ส่วนพระสงฆ์ควบคุมประชาชนในทางจิตใจ
(ทางธรรม หรือการสั่งสอนธรรมะ ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ) คณะบริหารการพระพุทธศาสนา
ประกอบด้วย เลขาธิการพุทธบริษัท ทำหน้าที่เป็นประธานของฝ่ายบริหาร
และองค์การบริหารต่าง ๆ (อาจปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม) ดังต่อไปนี้
๑.
องค์การศึกษา
๒. องค์การเผยแผ่
๓. องค์การสาธารณูปการ
๔. องค์การปกครอง
๕. องค์การอื่น ๆ ฯลฯ
ที่มาของ
เลขาธิการพุทธบริษัท อาจมาจากการเสนอชื่อโดยสภาพุทธบริษัทในทุกระดับ
แล้วนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาพุทธบริษัทส่วนกลาง เพื่อกลั่นกรองให้เหลือรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิและมีคุณสมบัติถูกต้องครบถ้วนเท่านั้น
จากนั้นให้ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อประกาศรายชื่อบุคคลที่จะมาร่วมทีมบริหารทั้งชุด
แล้วให้สภาพุทธบริษัทในทุกระดับลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง (หรืออาจจะให้ประชาชนชาวพุทธเลือกตั้งโดยตรงก็ได้)
โดยมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ ๔ ปี
๓.
คณะวินัยธร
คณะวินัยธร
(ศาลสงฆ์) เป็นหน้าที่ของรัฐด้วยความร่วมมือของคณะสงฆ์ ในการพิจารณาอธิกรณ์ต่าง
ๆ ของพระภิกษุสามเณรตามกฎนิคหกรรม ประกอบด้วย
๑.
ศาลชั้นต้น
๒.
ศาลอุทธรณ์
๓.
ศาลฎีกา
คณะวินัยธรเป็นส่วนหนึ่งแห่งอำนาจตุลาการของรัฐ
ที่มาของคณะวินัยธรเป็นไปตามขั้นตอนของฝ่ายตุลาการ โดยการปรึกษาหารือกับสภาพุทธบริษัท
และคณะบริหารการพระพุทธศาสนา โดยผู้พิพากษาผู้จะมาทำหน้าที่ในคณะวินัยธร
จะต้องเป็นผู้ทรงความรู้ด้านพระวินัยและหลักนิติศาสตร์
สภาพุทธบริษัท
คณะบริหารการพระพุทธศาสนา และคณะวินัยธร จะต้องมีสถานที่หรือสำนักงานที่แน่นอน
และมีเจ้าหน้าที่ประจำทุกแห่ง เพื่อความสะดวกในการติดต่อและประสานงาน
นอกจากนี้อาจจะมีหน่วย ตำรวจพุทธกิจ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับตำรวจเทศกิจ
ทำหน้าที่เป็นกำลังให้แก่พุทธบริษัทสี่ในกิจการทั้งปวงแห่งพระพุทธศาสนา
รวมทั้งมีหน้าที่จับผู้ต้องอาบัติปาราชิกสึกตามคำสั่งของคณะวินัยธร
อีกทั้งร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติทำหน้าที่ปกป้องศาสนวัตถุและทรัพย์สินอื่น
ๆ ในพระพุทธศาสนา หน่วย ตำรวจพุทธกิจ นี้อาจขึ้นตรงต่อองค์การปกครองแห่งคณะบริหารการพระพุทธศาสนาได้
สำหรับการบริหารวัดนั้น
อาจนำรูปแบบการแบ่งองค์การข้างต้นมาประยุกต์ใช้ได้ โดยอาจมีคณะกรรมการ
๒ ชุดคือ คณะกรรมการฝ่ายพุทธศาสนิก (คล้ายสภาล่าง) ประกอบด้วยตัวแทนอุบาสกและอุบาสิกาในชุมชน
ทำหน้าที่กำหนดนโยบายและทิศทางในการบริหารวัด และ คณะกรรมการฝ่ายสงฆ์
(คล้ายสภาสูง) ประกอบด้วยเจ้าอาวาสและตัวแทนของพระภิกษุสามเณรในวัด
ทำหน้าที่กลั่นกรองนโยบายของฝ่ายพุทธศาสนิก คณะกรรมการทั้ง ๒ ชุดร่วมกันจัดตั้งคณะบริหารวัดขึ้น
ทำหน้าที่บริหารวัดตามนโยบายและทิศทางที่ได้กำหนดไว้
ระบบการตรวจสอบการทุจริต
และประพฤติมิชอบ (Impeachment) ในการตรวจสอบการใช้อำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะบริหารการพระพุทธศาสนานั้น ควรจะมีหน่วยงานอิสระเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานและความโปร่งใส
โดยอาจจะมีหน่วยงานดังนี้
๑.
คณะกรรมการตรวจเงินการพระพุทธศาสนา
เป็นหน่วยงานอิสระ ทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของฝ่ายบริหารการพระพุทธศาสนา
ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความสามารถ และเข้าใจระบบการเงินเป็นอย่างดี
๒.
คณะกรรมการ
ปปช. การพระพุทธศาสนา
เป็นหน่วยงานอิสระ มีอำนาจไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาดการทุจริตและประพฤติมิชอบ
ของผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงในการพระพุทธศาสนา
๓.
ผู้ตรวจการพระพุทธศาสนาของสภาพุทธบริษัท
เป็นหน่วยงานอิสระ มีหน้าที่คอยตรวจสอบความทุกข์ร้อนของประชาชนในส่วนที่เกี่ยวกับการพระพุทธศาสนา
ทำรายงานเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทราบ แต่ไม่มีอำนาจสั่งการหรือพิพากษาโดยตรง
เพียงแต่สามารถทำรายงานเสนอสภาพุทธบริษัท และพิมพ์เผยแพร่เพื่อให้สาธารณชนรับทราบได้
ที่มาของคณะกรรมการทั้ง
๓ ชุดนี้ อาจมาจากการแต่งตั้งของสภาพุทธบริษัทในส่วนกลาง โดยมีวาระการดำรงตำแหน่งที่ยาวนานพอสมควร
(เช่น ๙ ปี) และจะได้รับการแต่งตั้งเกินหนึ่งวาระติดต่อกันไม่ได้
๔.
ตุลาการอาญาธร
เป็นองค์กรอิสระที่ตั้งขึ้นเฉพาะกรณี มีหน้าที่พิจารณาความผิด เช่นการทุจริตหรือการประพฤติมิชอบ
ของฝ่ายบริหารการพระพุทธศาสนาเป็นกรณี ๆ ไป ที่มาของตุลาการอาญาธร
ส่วนหนึ่งอาจมาจากการแต่งตั้งของสภาพุทธบริษัทในส่วนกลาง และอีกส่วนหนึ่งอาจมาจากการแต่งตั้งของที่ประชุมศาลฎีกาในคณะวินัยธร
ถ้าหากมิได้ตั้ง ตุลาการอาญาธร ก็อาจอนุโลมใช้ตุลาการทางฝ่ายบ้านเมืองแทนก็ได้
การที่
พ.ร.บ. พุทธบริษัทสี่ กำหนดให้ฆราวาสมีบทบาทในการบริหารจัดการการพระพุทธศาสนานั้น
ในทางหนึ่งก็เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์มีเวลามากพอในการศึกษาและปฏิบัติธรรม
อันเป็นหน้าที่สำคัญของพระสงฆ์ ตามหลักแห่งไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา)
เพื่อนำความรู้จากการศึกษาปฏิบัตินั้นมาสั่งสอนประชาชน เหตุที่จะก่อให้เกิดเรื่องอื้อฉาวต่าง
ๆ ก็จะลดน้อยลง ในอีกทางหนึ่งก็เพื่อให้ฆราวาสได้เข้ามาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาโดยตรง
และส่งเสริมพระภิกษุสามเณรในด้านการศึกษาและการปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่
ไม่ต้องมาพะวงกับเรื่องการบริหารศาสนสถานหรือศาสนวัตถุ ตามหลักการที่ว่า
ประชาชนควบคุมพระสงฆ์ในเชิงวัตถุ และพระสงฆ์ควบคุมประชาชนในเชิงจิตใจ
อันเป็นหลักการที่ยังความเข้มแข็งมาสู่พระพุทธศาสนา และทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองบนผืนแผ่นดินไทยจากอดีตจวบถึงปัจจุบันเป็นเวลานับพันปี
การคืนอำนาจแก่ประชาชน
ทางเลือกอีกทางหนึ่งในเรื่อง
พ.ร.บ. คณะสงฆ์ หรือ พ.ร.บ. พระพุทธศาสนาแห่งชาติก็คือ การคืนอำนาจแก่ประชาชน
เนื่องจาก พ.ร.บ. คณะสงฆ์ที่ผ่านมา ได้ทำให้ความสัมพันธ์ที่สมดุลระหว่างพระสงฆ์
ประชาชน และรัฐ อันเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญ แห่งความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาของไทย
ต้องแตกสลายลง ประวัติศาสตร์ ๑๐๐ ปีแห่ง พ.ร.บ. คณะสงฆ์ จึงเป็นประวัติศาสตร์แห่งความเสื่อมถอยของพระพุทธศาสนาในสังคมไทยมาโดยลำดับ
แม้ว่าจะเกิดนักปราชญ์อย่างเช่น พุทธทาสภิกขุ และพระธรรมปิฎก ในช่วงเวลาดังกล่าวขึ้นก็ตาม
ก็มิอาจหยุดยั้งความเสื่อมนี้ไว้ได้
การยกเลิก
พ.ร.บ. คณะสงฆ์ จึงนับเป็นการคืนอำนาจแก่ชุมชนและประชาชน โดยให้พระสงฆ์อยู่ภายใต้การดูแลและการตรวจสอบของประชาชนในชุมชน
ในเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ในเชิงวัตถุ ภายใต้ภาวะการณ์เช่นนี้พระสงฆ์ที่ดีจะอยู่ได้
และผู้ที่ปลอมปนมาบวชเพื่อแสวงหาลาภสักการะในพระศาสนาจะถูกประชาชนในชุมชนขจัดออกไป
ขณะเดียวกันพระสงฆ์จะกลายเป็นที่พึ่งที่แท้จริงของชุมชน และเป็นผู้นำทางจิตใจที่สั่งสอนสัจธรรมและอบรมศีลธรรมแก่ประชาชน
ความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาจะหวนกลับคืนสู่สังคมไทยในระดับรากหญ้าอีกครั้งหนึ่ง
ส่วนรัฐนั้นอาจจะมีหน่วยงานที่ประกอบด้วยผู้รู้
คอยทำหน้าที่ปกป้องภัยให้แก่พระพุทธศาสนา ทั้งภัยภายใน เช่น คอยสอดส่องผู้ที่ปลอมปนมาบวชเพื่อแสวงหาลาภสักการะในรูปแบบต่าง
ๆ เป็นต้น และภัยจากภายนอก เช่น การรุกทั้งในเชิงนิติบัญญัติและเชิงวัฒนธรรมของลัทธิความเชื่อนอกพระพุทธศาสนา
ที่มุ่งยึดครองพื้นที่ ทรัพยากร (โดยเฉพาะอย่างยิ่งงบประมาณแผ่นดิน)
และศาสนิกของพระพุทธศาสนา อันเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในสังคมไทย
บทสรุป
การออกพระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์ฉบับแรกในปี
พ.ศ. ๒๔๔๕ (ร.ศ. ๑๒๑) นั้น ได้นำความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงมาสู่โครงสร้างของคณะสงฆ์ไทย
ทำให้คณะสงฆ์ทั้งคณะตกอยู่ภายใต้ระบบราชการไทย ราชการเป็นผู้ให้คุณให้โทษแก่พระสงฆ์
มิใช่ประชาชนดังเช่นในอดีต ระบบการควบคุมซึ่งกันและกันระหว่างประชาชนกับพระสงฆ์
กล่าวคือประชาชนควบคุมพระสงฆ์ในเชิงวัตถุ และพระสงฆ์ควบคุมประชาชนในเชิงจิตใจได้ค่อย
ๆ หมดไป
พ.ร.บ.
คณะสงฆ์ฉบับที่สองซึ่งออกในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ นั้น แม้ว่าจะสอดคล้องกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
โดยมีการแยกอำนาจเป็นสังฆสภา คณะสังฆมนตรีภายใต้การนำของสังฆนายก และคณะวินัยธรก็ตาม
แต่ระบบราชการในคณะสงฆ์ก็ยังคงอยู่ และโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับพระสงฆ์ก็ยังมิได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้น
การออก
พ.ร.บ. คณะสงฆ์ฉบับที่สามในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ในยุคเผด็จการทหารของจอมพลสฤษดิ์
ธนะรัชต์ นั้น ทำให้คณะสงฆ์ตกอยู่ภายใต้การปกครองระบอบเผด็จการและความอ่อนแอล้าหลังของระบบราชการ
การแก้ไขปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ในยุคเผด็จการทหารของ ร.ส.ช. นั้น นับเป็นการตัดฟางเส้นสุดท้ายของการตรวจสอบอำนาจระหว่างรัฐและคณะสงฆ์ออกไปอย่างสิ้นเชิง
ทำให้ พ.ร.บ. คณะสงฆ์ฉบับนี้ซึ่งยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน เป็นเผด็จการเต็มรูปแบบ
และกลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการแก้ไขปัญหาของคณะสงฆ์ไทย
ความพยายามในการออก
พ.ร.บ. คณะสงฆ์ฉบับใหม่ โดยการยึดถือโครงสร้างเก่าของฉบับปี พ.ศ. ๒๕๐๕
แก้ไขเพิ่มเติมปี พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นบรรทัดฐานนั้น จึงมิได้เป็นการยกร่างกฎหมายใหม่เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้พระพุทธศาสนาดีขึ้นแต่อย่างใด
แม้ว่าจะมีการผลักดันให้กลุ่มพระที่หนุ่มกว่า (ที่เรียกกันว่า มหาคณิสสร)
ขึ้นมาผูกขาดอำนาจแทนมหาเถรสมาคมก็ตาม แต่เผด็จการโดยคนหนุ่มจะแตกต่างอะไรไปจากเผด็จการโดยคนแก่
และอย่างไหนจะอันตรายกว่ากัน ความสัมพันธ์ขั้นพื้นฐานระหว่างประชาชน
พระสงฆ์ และรัฐนั้นมิได้รับการเอ่ยถึงแต่อย่างใด
การออก
พ.ร.บ. คณะสงฆ์ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่หมักหมมมายาวนาน และการปฏิรูปพระพุทธศาสนาสู่ความรุ่งเรืองนั้น
หลักการและสาระสำคัญน่าจะอยู่ที่ การถ่วงดุล และการตรวจสอบอำนาจซึ่งกันและกัน
ระหว่างพระสงฆ์ ประชาชน และรัฐ ไม่ว่าการถ่วงดุลและการตรวจสอบนั้นจะอยู่ในรูปการตราพระราชบัญญัติหรือไม่ก็ตาม
หากความสัมพันธ์ขององค์ประกอบพื้นฐานทั้งสามนี้ดำเนินไปอย่างถูกต้องแล้ว
พระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าจะได้รับการเชิดชู อลัชชีในพระพุทธศาสนาจะถูกขจัดออกไป
และภัยจากลัทธิความเชื่อนอกพระพุทธศาสนาจะมิอาจเข้ามาย่ำยีได้ ตรงกันข้ามพระพุทธศาสนาจะให้ความร่มเย็น
ทั้งแก่ชาวพุทธและศาสนิกของศาสนาอื่นในสังคมไทย บนพื้นฐานแห่งการไม่เบียดเบียนกัน
ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้พระพุทธศาสนาจะกลับฟื้นคืนสู่ความเจริญรุ่งเรืองบนผืนแผ่นดินไทยอีกครั้งหนึ่ง
และจะเป็นที่พึ่งแก่ชาวโลกในการแก้ไขวิกฤตการณ์นานาประการที่โลกเผชิญอยู่ในปัจจุบัน.
ที่มา.-
เสขิยธรรมฉบับ
๕๔
*******************
|