พาเยือนวัดไทย
'บ้านตาเซะ' ศูนย์กลางชุมชนคนเชื้อสายไทยในมาเลเซีย เครือญาติทางประวัติศาสตร์
ผ่าน 'หลวงพ่อพะยอม' ภิกษุผู้เป็นเสาหลักในการหล่อหลอมเยาวชนมาเลเซียสายเลือดไทยมิให้ลืมรากเหง้าของตนเอง
ท่ามกลางเส้นใยความสัมพันธ์ของวัดกับชุมชนที่เริ่มเลือนหายไปมากแล้วในสังคมชนบทแบบไทยๆ
จากชายแดนอำเภอเบตง
จังหวัดยะลา ตัดผ่านวิวของเมืองแอ่งกระทะ ภูเขารายล้อมเขียวขมุกขมัวสายหมอกคลอเคลีย
สวนยางทึบสองข้างทางเข้าไปในประเทศมาเลเซีย ใช้เวลาราว 13 กิโลเมตรก็ถึง
'บ้านตาเซะ' ชุมชนเล็กๆที่จะทำให้เรามองเห็นประวัติศาสตร์ร่วมกันของแผ่นดินผืนนี้
--ไทย/มาเลเซีย
'บ้านตาเซะ'
คือ หมู่บ้านคนเชื้อสายไทย นับถือศาสนาพุทธ ในประเทศมาเลเซีย ตั้งรกรากกันอยู่ที่นี่มานมนาน
ถามว่านานแค่ไหน หากพอจะนับนิ้วไล่ประวัติกันได้อย่างน้อยๆก็ตั้งแต่สมัยมณฑลปัตตานีที่มีสุลต่านแห่งยะรมเป็นผู้ปกครอง
จนกระทั่งมีการปักปันดินแดนในยุคสมัยอาณานิคม ส่วนหนึ่งของเมืองยะรมหรืออำเภอเบตงในปัจจุบันถูกแบ่งให้อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษก่อนที่จะมาเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซียหลังเป็นเอกราช
ไล่เรียงดูจากตอนนั้นก็ครบรอบ 100 ปีพอดิบพอดีในปีนี้
อย่างไรก็ตาม
แม้จะผ่านเวลามาข้ามศตวรรษดูเหมือนชีวิตและวัฒนธรรมของคนไทยพุทธที่
'บ้านตาเซะ' ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปมาก ที่สำคัญเรายังสามารถเห็นภาพสังคมชนบทแบบไทยๆที่เคยมีวัดเป็นศูนย์กลางทางจิตใจของชาวบ้าน
และเป็นสถานที่อบรมบ่มวิชาให้ลูกหลานได้ที่นี่
บ่ายแก่จัด
แต่ไม่มีแดด ขุนเขาและละอองฝนโปรยไพรตลอดวันทำให้เรารู้สึกสดชื่นมากกว่าอ่อนเพลีย
แม้ว่าจะเพิ่งผ่านร้อยโค้ง ยะลา - เบตง มาไม่นาน รถเราจอดใกล้ๆโบสถ์
'วัดอินทราวาส' หรือที่ชาวบ้านเรียกติดปากว่า 'วัดตาเซะ' พลันที่ลงจากรถ
เสียง ก. อา กา....น. อา นา.. ของเด็กๆดังแว่วเข้ามาในโสตหู พอมาบวกกับบรรยากาศนอกเมืองเรียบง่าย
ทำให้ชวนนึกถึงสังคมชนบทบ้านเราในอดีต
ต้นเสียงดังมาจากอาคารปลูกสร้างง่ายๆข้างๆโบสถ์
ใบเสมาประทับ พ.ศ. 2509 ยืนยันความเก่าแก่ เสียงท่องอ่านของเด็กวัดทำเอานึกถึงสมัยเรียนมานีมีตา...อาดูปู
ขึ้นมาทันที จึงเดินตามเสียงไป เห็นหลวงพ่อกำลังสอนให้เด็กๆห้องหนึ่งคัดไทยอย่างขมีขมัน
ส่วนห้องข้างๆที่กั้นฝาง่ายๆนั้นที่เป็นที่มาของเสียงที่ได้ยิน ภาพของพระผู้เฒ่ากำลังสอนเด็กๆ
แบบนี้ แม้แต่ในชนบทของไทยซึ่งเป็นเมืองพุทธศาสนาก็อาจไม่ค่อยเห็นได้บ่อยนัก
เพราะหลังจากเด็กๆถูกป้อนเข้าระบบโรงเรียนตั้งแต่เล็กก็ห่างไกลศาสนาไปมากแล้ว
อย่างมากก็มีเรียนบ้างเป็นครั้งคราวเอาไว้อัพเกรด 4
แต่เด็กๆที่
'บ้านตาเซะ' หลังเลิกเรียนตามปกติ พ่อแม่จะส่งมาเรียนภาษาไทยและศาสนาพุทธที่วัด
การปรากฏตัวของพวกเราทำให้เด็กๆเริ่มเสียสมาธิ หลวงพ่อจึงหันมา จึงสบโอกาสแสดงตัวว่าเป็นนักข่าวจากฝั่งไทยและขอเข้าไปคุยกับหลวงพ่อ
ท่านก็ยิ้มแย้มทักทายด้วยสำเนียงไทยภาคใต้ เด็กๆสีหน้าตื่นเต้นคึกคักขึ้น
คงเพราะจะได้มีเวลาอู้อีกสักนิดหน่อย
หลวงพ่อพะยอม
เล่าให้ฟังว่า เด็กๆเหล่านี้เป็นลูกหลานของคนไทยพลัดถิ่นสมัยปันกันดินแดนระหว่างไทยกับอังกฤษ
ซึ่ง 4 ตำบลในพื้นที่อำเภอเบตงเดิม ได้แก่ ตาเซะ บาลิ่น โกร๊ะ และอิตำ
ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซีย อย่างไรก็ตาม ความเป็นอยู่ในปัจจุบันของคนเชื้อสายไทยในมาเลเซียก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
"รัฐบาลที่นี่ดีอย่าง
สงกรานต์ก็ให้ทำกิจกรรม และให้เงินทำกิจกรรมถ้าชุมชนขอไป " หลวงพ่อพะยอมกล่าวถึงการจัดการความแตกต่างของรัฐบาลมาเลเซียที่ทำให้คนเชื้อสายต่างๆไม่รู้สึกเป็นอื่น
โดยเฉพาะเชื้อสายไทย ทั้งนี้ ในมาเลเซียคนมลายูมุสลิมเป็นประชากรส่วนมาก
นอกนั้นเป็นคนเชื้อสายจีน อินเดีย และไทยพุทธ ซึ่งสำหรับไทยพุทธที่ตาเซะดูเหมือนจะได้รับความไว้วางใจจากรัฐเป็นพิเศษ
จึงยอมให้สิทธิในการมีกำนันเป็นคนไทยพุทธที่สามารถดูแลกันเองได้เองตามสมควร
"คนไทยที่นี่
เขาไม่ไปไหน เขาเกิดที่นี่ โตที่นี่ เป็นแผ่นดินของเขา และเขาก็ไม่ให้ใครเข้ามาอยู่เช่นกัน"
หลวงพ่อให้เหตุผลเมื่อเราถามถึงการย้ายกลับไปอยู่ในฝั่งไทย แต่ท่านก็ยืนยันว่า
ความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อชาติไม่เป็นปัญหาในตาเซะ เด็กๆที่โตที่นี่โดยมากพูดได้
2 ภาษา คือไทยซึ่งพูดที่บ้าน (บางบ้านก็พูดสำเนียงภาคใต้) และในชุมชนไทย
ส่วนมลายูเป็นภาษาสื่อสาร บางคนอาจพูดได้ถึง 3 ภาษา คือ พูดภาษาจีนได้ด้วย
ซึ่งคนจีนเองก็มาทำบุญที่วัดเสมอ แต่สำหรับคนอินเดียจะมีโบสถ์พราหมณ์ของตัวเอง
ด้านวิถีชีวิต
ความเป็นอยู่ และประเพณีของชุมชนไทยใน 'บ้านตาเซะ' นั้นก็ยังคงคล้ายกับท้องถิ่นภาคใต้ของไทยมาก
นอกจากงานสงกรานต์ที่รัฐบาลมาเลเซียยอมให้จัดงานแล้ว ยังมีการจัดงานทำบุญเดือนสิบ
และเพิ่งจัดงานลอยกระทงไปพร้อมๆกับประเทศไทย ส่วนข่าวคราวจากเมืองไทยคนที่นี่ก็ติดตาม
และเขาก็รักในหลวงเหมือนกัน
ปัจจุบัน
คนเชื้อสายไทยพุทธใน 'หมู่บ้านตาเซะ' มีกว่า 300 ครอบครัว แต่หลวงพ่อ
บอกว่า เมื่อก่อนไม่ได้มีคนเยอะขนาดนี้ จะอยู่กระจัดกระจายกันไป จนกระทั่งหลังจากยุคอาณานิคมซึ่งเป็นช่วงที่รัฐบาลมาเลเซียต้องสู้กับจีนคอมมิวนิสต์มลายา
จึงมีนโยบายให้ชุมชนต่างๆที่กระจัดกระจายทั้ง ไทย จีนและอินเดียให้มารวมกันบริเวณนี้
คนไทยเมื่อมาอยู่รวมกันก็สร้างโบสถ์ สร้างวัดขึ้น แต่ไม่มีพระสงฆ์
"มาจากอำเภอปากพะยูน
พัทลุง เมื่อ 30 ปีที่แล้ว" หลวงพ่อบอก จากนั้นมาท่านก็จำพรรษาที่นี่เรื่อยๆ
แต่ท่านออกตัวว่าไม่ใช่เจ้าอาวาส และที่วัดนี้ไม่มีเจ้าอาวาส เพราะท่านเองดูแลไม่ไหว
เราลองหันสบตาเด็กๆ
เมื่อเห็นแววตาตอบรับเลยหันไปคุยบ้าง พวกเธอพูดภาษาไทยสำเนียงภาคกลางตอบกลับมาได้อย่างคล่องแคล่ว
"เดี๋ยวจะมีลอยกระทงอีกครั้ง
" เมธินี สีสุวรรณ ยิ้มแป้นแฝงความขวยเขิน ความคมขำ และคำพูดคำจาฉะฉานทำให้นึกถึงแบบเรียนภาษาไทย
บทที่มานีเข้าโรงเรียนวันแรก หมาที่เดินไปมาตรงลานวัดยิ่งทำให้เรานึกถึงเจ้าโต
ขาดแต่ว่าถ้ามีม้าเจ้าแก่กับลิงของพี่วีระห้อยโหนตามเสาคงสนุกไม่หยอก
"ที่วัดพิกุลบุญญาราม
เป็นวัดไทยอีกวัดหนึ่ง เขาจะจัดงาน เพราะที่วัดอินทราวาสจัดไปแล้ว"
เธออธิบาย
เราอาจจะงงแต่ที่นี่สามารถจัดงานลอยกระทงได้อีกหากวัดจะเป็นเจ้าภาพจัดงานแม้ว่าวันเพ็ญเดือนสิบสองจะผ่านไปแล้วก็ตาม
นี่คงเป็นความแตกต่างที่ชัดเจนทีเดียวหากเทียบกับประเพณีดั้งเดิมทางฝั่งไทยที่ยึดถือปฏิทินจันทรคติมาก่อน
อย่างไรก็ตาม หากมองลึกลงไปในเนื้อหา เมธินี บอกว่า คนที่นี่ยังคงยึดถือความเชื่อเดียวกัน
คือการลอยกระทงยังเป็นเสมือนการขอขมาต่อสายน้ำหรือมหาคงคานที ส่วนประเพณีอื่นๆเสน่ห์แบบไทยๆก็ยังมีครบถ้วน
อย่างงานสงกรานต์ก็จะต้องอาบน้ำให้คนเฒ่าคนแก่และทำบุญตักบาตร เล่นแป้งบ้าง
สำหรับเด็กๆนั้นการเล่นปืนฉีดน้ำดูจะเป็นที่นิยมมากกว่าสาดกันด้วยขัน
"มีญาติอยู่ที่เมืองไทย
ช่วงสงกรานต์ หรือลอยกระทงก็ได้ไปหาบ้าง หรือมีข้ามมาหาที่นี่บ้าง"
นีรามัย จันทวิรัติน์ เพื่อนที่นั่งโต๊ะข้างหน้าเมธินีบอก เธอเป็นคนเดียวในห้องที่เคยไปเยี่ยมญาติในฝั่งไทยและทำให้ความเป็นญาติกาของสองแผ่นดินแดนยังเชื่อมกระชับข้ามผ่านกาลเวลา
นอกจากนี้ เทคโนโลยีดาวเทียมก็มีส่วนช่วยถักทอสายใยจากอดีตให้เป็นผืนเดียวกันได้มาก
อย่างน้อยดาวเทียมก็สามารถนำ 'ชิงชัง' หรือ 'น้ำตาลไหม้' มาให้ได้ดูและเมาท์กันสนุกสนาน
ดูเหมือนว่าพี่ชาคริต จะได้รับความนิยมค่อนข้างมาก แต่พี่เคน ธีรเดช
แห่ง 'รถไฟฟ้ามหานะเธอ' ก็กำลังเป็นมาแรงไม่แพ้กัน
เด็กผู้ชายไปไหน...
เราถาม เพราะสังเกตว่านักเรียนห้องนี้มีแต่เด็กผู้หญิง
"อ๋อ..มันสอบตก
หลวงพ่อเลยไล่ให้ไปเรียนห้องอื่น" เธอกล่าวถึงเพื่อนแก้ววัยทะโทนอย่างขำๆ...ปิติที่เรารู้จักมันก็มักซนแก่นแบบนี้เสมอ
ก่อนเราจะกลับ
หลวงพ่อเดินเข้าไปในกุฏิก่อนจะหิ้วถุงหอบหนึ่งกลับมาวางบนโต๊ะ ในถุงเป็นนมข้นจืดกับไมโล
"ฝากไปให้นายด่านฝั่งไทยด้วย บอกว่าหลวงพ่อวัดตาเซะฝากมา "
หลวงพ่อกล่าว "ถึงมาอยู่มาเลเซียก็ยังติดตามข่าวคราวในเมืองไทยตลอด"
ท่านว่า พร้อมโชว์หนังสือพิมพ์หัวสีฉบับหนึ่งให้ดู เราเลยแอบถามความเห็นต่อข้อเสนอ
'นครปัตตานี' ของ พล.อ.ชวลิตร ยงใจยุทธ ที่กำลังเป็นข่าวคราวครึกโครมช่วงนี้
"ไม่มีทาง"
หลวงพ่อกล่าวไม่เห็นด้วยอย่างหนักแน่น
"มันเป็นเรื่องที่แก้ยาก มันอาจเข้าทางเขาสบายเลย" หลวงพ่อพูดแค่นั้นแล้วเงียบไป
เราจึงไม่ซักต่อ แต่ก่อนเดินไปที่รถหลวงพ่อย้ำกับเราอีกครั้ง
"ถ้ามาอีกก็ซื้อหนังสือพิมพ์ไทยมาฝากบ้างต่ะ"
แม้มาอยู่ต่างแดนนานแล้ว
แต่ดูท่านยังเป็นห่วงใยประเทศไทยเสมอ.
ที่มา.-AmanNews
*******************
|