มหันตภัยจากคลื่นสึนามิใน
๖ จังหวัดภาคใต้เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคมที่ผ่านมา ไม่เพียงก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างมหาศาลเท่านั้น
หากยังได้สร้างบาดแผลทางจิตใจแก่ประชาชนเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะผู้ที่ต้องสูญเสียคนรักหรือสิ้นเนื้อประดาตัว
บุคคลเหล่านี้ควรได้รับความช่วยเหลือในทางจิตใจไม่น้อยไปกว่าการช่วยเหลือด้านวัตถุสิ่งของ
ในการฟื้นฟูจิตใจและการปรับตัวเพื่อก้าวข้ามความทุกข์จากหายนะภัยดังกล่าวนั้น
บุคคลที่สำคัญที่สุดได้แก่ตัวผู้ประสบภัยเอง แต่การสนับสนุนช่วยเหลือจากผู้คนรอบข้างก็มีความสำคัญไม่น้อย
การฟื้นฟูจิตใจและการปรับตัวสำหรับผู้ประสบภัยมีแนวทางพอสังเขปดังนี้
๑.ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น
สำหรับผู้ประสบภัย: การสูญเสียคนรัก อวัยวะ ทรัพย์สินเงินทอง และวิถีชีวิตที่คุ้นเคย
เป็นความเจ็บปวดที่ไม่มีใครปรารถนา แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว มันก็คือความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้
บางครั้งความจริงก็เป็นเรื่องที่เจ็บปวด แต่การจะพ้นจากความเจ็บปวดได้
ต้องเริ่มต้นจากการยอมรับความจริงดังกล่าว ยอมรับว่าเราได้สูญเสียคนรัก
อวัยวะ ทรัพย์สินเงินทอง และวิถีชีวิตที่คุ้นเคยไปแล้ว ทั้งหมดนี้แม้เราจะรักและหวงแหนเพียงใด
แต่บัดนี้ได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว วันนี้เราจะต้องมีชีวิตอยู่โดยไม่มีเขาหรือไร้สิ่งเหล่านั้น
และถึงแม้ชีวิตวันนี้จะยากลำบากเพียงใด ก็ขอให้มั่นใจว่าความทุกข์ยากจะไม่มีวันยั่งยืน
มันจะต้องผ่านไปในที่สุด แม้วันนี้จะดูมืดมน แต่เช้าวันใหม่ที่สดใสจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน
ความสูญเสียใด ๆ ก็ตาม แม้จะเป็นเรื่องที่เจ็บปวด แต่หากยอมรับว่ามันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว
การทำใจยอมรับความสูญเสียก็เป็นไปได้ง่ายขึ้น ตรงกันข้ามการปฏิเสธและไม่ยอมรับว่ามันเป็นความจริง
จะทำให้เราไม่ยอมรับความสูญเสียและไม่ยอมกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงในปัจจุบัน
สำหรับญาติมิตร : การช่วยให้ผู้ประสบภัยยอมรับความจริงอันเจ็บปวด และพร้อมจะอยู่กับความเป็นจริงในปัจจุบันถือได้ว่าเป็นขั้นตอนสำคัญในการช่วยให้เขาปรับตัวกับชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป
อย่างไรก็ตามการยอมรับความจริงอันเจ็บปวดนั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา
ญาติมิตรจึงไม่ควรพยายามโน้มน้าวให้เขายอมรับความจริงดังกล่าวในชั่วเวลาสั้น
ๆ ควรยอมรับข้อจำกัดของเขา แต่สิ่งที่ญาติมิตรจะช่วยได้มากคือการให้กำลังใจแก่เขา
พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างเขา น้ำใจของผู้คนรอบข้างจะช่วยให้เขามั่นใจและมีความอดทนมากขึ้นในการเผชิญกับความสูญเสียและมีความหวังกับอนาคต
ผู้ที่มีศรัทธาแน่นแฟ้นในศาสนามีแนวโน้มที่จะยอมรับความจริงอันเจ็บปวดได้ง่ายกว่า
เช่น พุทธศาสนิกชนอาจมองว่าความสูญเสียนั้นเป็นเรื่อง อนิจจัง หรือเป็นเรื่องของบุญกรรม
ส่วนชาวมุสลิมหรือชาวคริสต์ก็อาจมองว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ศาสนาเป็น
ทุนทางสังคม ที่ยังมีพลังในการเยียวยาจิตใจของผู้สูญเสีย จึงไม่ควรที่จะมองข้าม
๒. ตระหนักรู้และยอมรับความรู้สึกที่เจ็บปวด
สำหรับผู้ประสบภัย: ความเจ็บปวด ความเศร้าโศกเสียใจ และความรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยว
เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับทุกคนที่สูญเสียคนรักหรือพลัดพรากจากสิ่งที่รัก
เมื่อคุณมีความรู้สึกดังกล่าว แม้จะเป็นทุกข์เพียงใด แต่ก็ขอให้ยอมรับว่าเป็นเรื่องธรรมดา
ไม่ปฏิเสธผลักไสหรือกดข่มมันเอาไว้ การปฏิเสธผลักไสมันไม่ช่วยให้มันหายไปจากจิตใจ
อย่างมากก็เพียงแต่ระงับไปชั่วคราว แต่ในที่สุดก็จะกลับมารบกวนอีก
หาไม่ก็จะถูกเก็บกดเอาไว้เพื่อรอวันระเบิดออกมา
ทุกครั้งที่อารมณ์ความรู้สึกดังกล่าวเกิดขึ้น ให้ตระหนักรู้ในอาการดังกล่าว
แต่ไม่ควรปล่อยใจให้จมติดหรือหมกมุ่นหมุนวนอยู่ในอารมณ์ความรู้สึกดังกล่าว
เพราะจะยิ่งทำให้อารมณ์ความรู้สึกดังกล่าวทวีความรุนแรงขึ้น หากรู้สึกว่ากำลังจะติดจมอยู่ในอารมณ์
ให้ดึงความสนใจออกไปที่สิ่งอื่นแทน เช่น ลุกไปทำงาน หรือหันไปทำกิจวัตรประจำวันอย่างอื่น
อย่างไรก็ตามหากความเศร้าโศกเสียใจท่วมท้นจิตจนอยากร้องไห้ ก็ไม่ควรหักห้ามใจ
การได้ร้องไห้จะช่วยให้ความรู้สึกดังกล่าวคลี่คลายลง
ขณะเดียวกันก็ควรยอมรับด้วยว่าการที่จิตใจจะกลับคืนมาเป็นปกติดังเดิมนั้น
เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ดังนั้นจึงต้องมีความอดทนกับความทุกข์ที่รบกวนจิตใจ
ด้วยความเชื่อมั่นว่าในที่สุดอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นก็จะหายไป แล้วเราจะกลับมายิ้มแย้มแจ่มใสได้ใหม่
สำหรับญาติมิตร : เป็นธรรมดาที่ผู้ประสบความสูญเสียอย่างหนักมักจะต้องผ่านอาการต่อไปนี้
คือ ปฏิเสธความจริง โกรธเกรี้ยว เศร้าโศก จากนั้นถึงจะสามารถยอมรับและทำใจได้
ดังนั้นญาติมิตรจึงควรมีความอดทนและเข้าใจหากผู้ประสบภัยจะแสดงอารมณ์ดังกล่าวออกมาทั้งกับตนเองหรือผู้อื่น
ควรยอมรับทุกอารมณ์ความรู้สึกของเขา ที่สำคัญก็คือญาติมิตรควรทำใจให้สงบและมั่นคง
ความสงบที่แสดงออกมาจะช่วยให้ผู้ประสบภัยพลอยสงบลงไปด้วย ญาติมิตรควรให้กำลังใจแก่เขาว่าความรู้สึกที่เจ็บปวดนั้นจะไม่มีวันรบกวนเขาไปได้ตลอด
ไม่นานเขาก็จะผ่านพ้นความเศร้าโศกไปได้ในที่สุด อย่างไรก็ตามสิ่งที่ไม่ควรทำก็คือการไปบอกว่า
เขาไม่ควรรู้สึกโกรธหรือเศร้าโศกเสียใจ หรือบอกว่าเขาควรจะทำใจให้ได้
คำพูดดังกล่าวอาจจะทำให้เขาปฏิเสธแลและกดข่มความรู้สึกดังกล่าว หรือไม่กล้าที่จะแสดงอารมณ์เหล่านั้นออกมา
ซึ่งจะทำให้เขายากที่จะผ่านพ้นอารมณ์ดังกล่าวไปได้
๓ พูดคุยและปรึกษาผู้อื่น
สำหรับผู้ประสบภัย: เมื่อความทุกข์ท่วมท้นจิตใจ ไม่ควรเก็บไว้คนเดียว
ควรหาโอกาสเล่าความรู้สึกหรือเปิดเผยให้แก่ผู้ที่เราไว้วางใจ การได้พูดหรือระบายความรู้สึกออกมาจะช่วยให้จิตใจเบาสบายขึ้น
อารมณ์ความรู้สึกที่เป็นลบนั้น หากปล่อยให้ค้างคาใจและยิ่งหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่กับมัน
จะยิ่งรุนแรงเข้มข้นขึ้นจนกลายเป็นสิ่งกดถ่วงหน่วงทับใจ การได้พูดออกมาหรือเล่าให้ผู้อื่นฟัง
ช่วยให้ความรู้สึกที่หนักอึ้งถ่ายเทออกไปจากจิตใจในระดับหนึ่ง ไม่ควรรู้สึกผิดหรืออับอายหากจะแสดงความเศร้าโศกหรืออารมณ์ต่าง
ๆ ออกมา
สำหรับญาติมิตร : ไม่ควรปล่อยให้ผู้สูญเสียอยู่คนเดียว ควรเข้าไปเยี่ยมเยียนและไต่ถามทุกข์สุข
เปิดโอกาสให้เขาได้ระบายความรู้สึกหรือแสดงความเศร้าโศกออกมา พยายามฟังด้วยความใส่ใจ
ไม่ขัดคอ ตำหนิ หรือห้ามปราม แม้จะไม่เห็นด้วยกับเขาแต่ก็ไม่ควรถกเถียงหรือโต้แย้ง
เพราะจะทำให้เขาไม่กล้าที่จะเล่าหรือระบายความรู้สึกออกมาอย่างเต็มที่
อย่ากังวลว่าเราไม่มีอะไรจะแนะนำเขา ในยามนี้เพียงแค่มีน้ำใจให้เขาและรับฟังสิ่งที่เขาพูดอย่างเต็มที่
โดยไม่ตัดสิน ไม่ตำหนิหรือคิดแต่จะสอน ก็จะช่วยเขาได้มาก ในขณะที่รับฟังเขา
การสัมผัสร่างกายของเขา(ตามความเหมาะสมของเพศและวัย) เช่น จับมือหรือโอบกอด
จะช่วยให้เขาเกิดความมั่นใจมากขึ้น
๔. ทำพิธีทางศาสนาแก่ผู้ล่วงลับ
สำหรับผู้ประสบภัย : การที่ต้องสูญเสียบุคคลที่รักไปอย่างกะทันหัน
โดยไม่ทันได้ล่ำลา ย่อมสร้างความทุกข์แก่ผู้ที่ยังอยู่ ยิ่งการจากไปนั้นเกิดจากภัยพิบัติหรืออุบัติเหตุที่สร้างความทุกข์ทรมานแก่ผู้ที่ล่วงลับ
ก็ยิ่งสร้างความเศร้าโศกเสียใจและห่วงกังวลแก่ผู้ที่ยังอยู่ การที่ได้ประกอบพิธีทางศาสนาหรือทำอะไรให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปตามความเชื่อทางศาสนา
เช่น ถ้าเป็นชาวพุทธก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ จะช่วยลดความเศร้าโศกเสียใจและห่วงหาอาลัยไปได้มาก
เพราะอย่างน้อยก็ทำให้มั่นใจและสบายใจว่าได้มีส่วนช่วยให้เขาไปประสบสุขในสัมปรายภพ
นอกจากนั้นยังอาจช่วยลดความรู้สึกผิดสำหรับผู้ที่สูญเสียคนรักต่อหน้าต่อตาโดยช่วยอะไรไม่ได้
หรือรู้สึกผิดที่มีส่วนชักนำให้ไปอยู่ในสถานที่เกิดเหตุ
การอุทิศส่วนกุศลสามารถทำได้หลายวิธีเช่น ใส่บาตร ถวายสังฆทาน บริจาคสิ่งของเช่นอาหารแก่ผู้ยากไร้
มอบทุนการศึกษาแก่เด็กยากจน พิมพ์หนังสือแจกเป็นธรรมทาน หรืออุปสมบท
ปฏิบัติธรรม เป็นต้น โดยหลังจากได้ทำกิจอันเป็นบุญกุศลแล้ว ให้น้อมจิตอุทิศบุญกุศลที่ได้บำเพ็ญแก่ผู้ที่จากไป
โดยอาจมีการกรวดน้ำด้วยก็ได้
สำหรับญาติมิตร: ควรช่วยเหลือให้ผู้ประสบภัยได้ประกอบพิธีทางศาสนาตามความเชื่อของเขา
หรือแนะนำชักชวนให้ผู้ประสบภัยทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับอย่างสอดคล้องกับความเชื่อของเขา
เช่น บางคนอาจนิยมทำบุญด้วยการสงเคราะห์คนยากจนมากกว่าการทำตามประเพณีทั่ว
ๆ ไป การที่ญาติมิตรได้ไปประกอบพิธีหรือทำบุญร่วมกับเขา นอกจากจะช่วยให้เขาอุ่นใจแล้ว
ยังทำให้เขารู้สึกดีที่พบว่าคนรักของตนแม้จะล่วงลับไปแล้วแต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนมากระลึกนึกถึงอยู่
๕ ปรับตัวเข้ากับชีวิตที่แปรเปลี่ยน
สำหรับผู้ประสบภัย : บุคคลที่เรารักหรือสิ่งที่เราหวงแหน ครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในชีวิตของเรา
แต่มาวันนี้ไม่มีบุคคลผู้นั้นหรือสิ่งนั้นอีกต่อไป นั่นหมายความว่าชีวิตที่เราคุ้นเคยนั้นได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว
ชีวิตที่ไม่มีเขาหรือสิ่งนั้นคือชีวิตใหม่ในปัจจุบันที่เราต้องทำความคุ้นเคยและปรับตัว
การปรับตัวนอกจากจะหมายถึงการทำใจแล้ว ยังรวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือการปรับบทบาทเสียใหม่
เช่น หากผู้สูญเสียเป็นพ่อ แม่ที่ยังอยู่ก็อาจต้องทำหน้าที่เหมือนพ่อด้วย
หากผู้สูญเสียเป็นผู้หารายได้หลักของครอบครัว ผู้ที่ยังอยู่ก็ต้องหันมาประกอบอาชีพหรือเพิ่มรายได้ให้มากขึ้น
หากสูญเสียอวัยวะจนพิการ ก็จำต้องเรียนรู้ที่จะดำรงอยู่อย่างดีที่สุดภายใต้ข้อจำกัดของร่างกาย
ไม่ว่าการปรับตัวนี้จะยากลำบากเพียงใด ก็ขอให้มั่นใจว่าไม่มีอะไรที่ยากเกินวิสัยของเรา
และการปรับตัวนั้นจะได้ผลดีอย่างแท้จริงและยั่งยืนก็ต่อเมื่อเราเองมีบทบาทในการคิด
วางแผน และตัดสินใจด้วยตนเอง โดยที่ผู้อื่นเป็นเพียงผู้ช่วยเหลือสนับสนุน
สำหรับญาติมิตร: โดยทั่วไปแล้ว ผู้คนมักจะสูญเสียเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง
ขณะที่สิ่งอื่น ๆ ยังดำรงอยู่ เช่น สูญเสียคนรัก แต่ยังมีบ้านเรือนและทรัพย์สินเงินทอง
หรือสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง แต่คนในครอบครัวยังอยู่ครบ การปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงจึงเป็นเรื่องที่แม้จะยาก
แต่ก็ไม่ยากเท่ากับการที่ต้องสูญเสียทุกอย่าง ทั้งคนรัก บ้านเรือน
ทรัพย์สินเงินทอง เครื่องมือประกอบอาชีพ ดังที่เกิดกับผู้คนเป็นอันมากจากมหันตภัยครั้งนี้
ในภาวะที่ต้องฟื้นฟูทุกอย่างจากสภาพที่เกือบเป็นศูนย์ การช่วยเหลือจากผู้อื่น
เช่น ญาติมิตร ชุมชน หรือหน่วยราชการจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ญาติมิตรอาจเริ่มต้นด้วยการช่วยเหลือปัญหาเฉพาะหน้าแม้จะดูเล็กน้อยก็ตาม
เช่น ช่วยหุงข้าว ทำความสะอาดบ้าน ดูแลเด็ก ๆ ไปจนถึงการช่วยสร้างบ้านเรือน
แนะนำอาชีพใหม่ หรือแนะนำแหล่งช่วยเหลือที่จำเป็น
อย่างไรก็ตามการยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือจะต้องไม่ทำให้เขาสูญเสียความสามารถในการพึ่งตนเอง
จนต้องพึ่งพาภายนอกสถานเดียว ต้องไม่ลืมว่าการปรับตัวเข้ากับชีวิตที่เปลี่ยนไปนั้น
บุคคลที่สำคัญที่สุดในกระบวนการดังกล่าวก็คือตัวผู้ประสบภัยนั้นเอง
ดังนั้นการที่ผู้ประสบภัยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและกำหนดวิถีชีวิตของตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก
ไม่ว่าจะทำโดยตรงหรือโดยผ่านการมีส่วนร่วมในชุมชน ญาติมิตรตลอดจนบุคคลภายนอกไม่ควรยัดเยียดทางออกให้แก่เขาหรือตัดสินให้เขาแม้จะมีความหวังดีเพียงใดก็ตาม
และไม่ควรให้คำมั่นสัญญาในสิ่งที่ตนไม่มั่นใจว่าจะทำได้
๖ ดูแลรักษาสุขภาพและพักผ่อนให้พอเพียง
สำหรับผู้ประสบภัย : ใจและกายนั้นสัมพันธ์กัน หากใจเป็นทุกข์ก็อาจฉุดให้ร่างกายเจ็บป่วยได้
ขณะเดียวกันร่างกายที่เจ็บป่วยก็ยิ่งทำให้จิตใจยิ่งอ่อนแอและเป็นทุกข์ได้ง่าย
ตรงกันข้ามกับร่างกายที่แข็งแรง สดชื่นแจ่มใส ก็อาจช่วยฟื้นฟูจิตใจให้ดีขึ้นได้
ดังนั้นจึงควรที่จะดูแลรักษาสุขภาพให้ดี เช่น พักผ่อนให้พอเพียง ไม่อดหลับอดนอน
กินอาหารถูกสุขลักษณะ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
สำหรับญาติมิตร : ควรดูแลเอาใจใส่สุขภาพกายของผู้ประสบภัยด้วย เช่น
ชักชวนให้ไปออกกำลังกายด้วยกัน ทำอาหารให้กินหรือซื้ออาหารมาให้หากผู้สูญเสียไม่มีกะจิตกะใจจะดูแลตนเองในเรื่องนี้
๗ เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสแห่งการพัฒนาตน
สำหรับผู้ประสบภัย : ความทุกข์หรือความสูญเสียนั้นมิได้มีแต่โทษอย่างเดียว
หากยังมีคุณด้วย กล่าวคือช่วยให้ผู้ที่ปรับตัวผ่านเหตุการณ์ดังกล่าวมาได้มีจิตใจที่เข้มแข็งขึ้น
สามารถอดทนต่อความสูญเสียพลัดพรากได้มากขึ้น โดยเฉพาะความสูญเสียพลัดพรากที่มีความรุนแรงน้อยกว่าที่เคยประสบ
และมีความเห็นอกเห็นใจในผู้ที่ประสบความสูญเสียอย่างเดียวกับตน อีกทั้งยังมีบทเรียนหรือความเข้าใจในชีวิตมากขึ้น
เช่น เห็นถึงความไม่แน่นอนของชีวิตและโลก ตระหนักว่าความสูญเสียพลัดพรากและความตายนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลาโดยไม่อาจคาดการณ์ได้
ผู้ที่มีความตระหนักเช่นนี้ย่อมเห็นถึงความจำเป็นในการเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมต่อความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
หมั่นสร้างคุณงามความดีหรือบุญกุศลขณะที่ยังมีโอกาสอยู่ ขณะเดียวกันก็มีแนวโน้มที่จะปล่อยวางมากขึ้น
ไม่ยึดติดหรือสำคัญมั่นหมายว่าสิ่งต่าง ๆ จะมีความคงทนยั่งยืน ในประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนามีบุคคลจำนวนไม่น้อยที่บรรลุธรรมหลังจากประสบกับความพลัดพรากสูญเสียอย่างใหญ่หลวง
เช่น นางกีสาโคตมีซึ่งสูญเสียลูกน้อย หรือนางปฏาจาราซึ่งสูญเสียสามี
ลูกทั้งสองคน รวมทั้งพ่อแม่และน้องชาย ตลอดจนบ้านเรือนและทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มี
ทั้งสองท่านเป็นทุกข์จนถึงกับคลุ้มคลั่ง หากต่อมาได้สติ เกิดระลึกได้ถึงความไม่แน่นอนของชีวิตและสรรพสิ่ง
เป็นเหตุให้เกิดปัญญาเข้าใจสัจธรรม จนหลุดพ้นจากความทุกข์ในที่สุด
ผู้ที่ประสบการสูญเสียพลัดพราก ล้วนมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนวิกฤตครั้งนี้
ให้เป็นโอกาสแห่งการพัฒนาทางจิตใจ เพื่อมีชีวิตที่เป็นสุขมากขึ้นในโลกที่ผันผวนแปรปรวนแปรเป็นนิจ
อย่างไรก็ตามการที่ผู้ประสบภัย จะเข้าถึงสภาวะดังกล่าวได้ ต้องอาศัยเวลาและการชี้แนะที่เหมาะสม
รวมทั้งการใคร่ครวญชีวิตจิตใจของตนเองอย่างลึกซึ้ง โดยอาศัยการทำสมาธิภาวนาหรือการปฏิบัติตามแนวทางศาสนาของตน
สำหรับญาติมิตร : ควรแนะนำผู้ประสบภัยให้ได้รับรู้หรือรับฟังคติธรรมตามความเชื่อทางศาสนาของเขา
เช่น หาหนังสือหรือเทปธรรมะมาให้ แนะนำสถานที่ปฏิบัติธรรม หรือพูดให้ฟัง
เป็นต้น คติธรรมหรือสื่อธรรมดังกล่าวนอกจากจะช่วยให้เขายอมรับความจริงได้ง่ายขึ้นแล้ว
ยังอาจช่วยให้เขาแปรเปลี่ยนประสบการณ์อันเลวร้ายให้กลายเป็นประโยชน์
เช่น ทำให้เห็นสัจธรรมความจริงของชีวิต เกิดปัญญา เมตตา ศรัทธา และความไม่ประมาท
เท่ากับว่าได้ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ตามพึงพิจารณาโอกาสที่เหมาะสมหรือเมื่อเขาพร้อมจะรับฟัง
ที่สำคัญก็คือไม่ควรยัดเยียดอะไรให้แก่เขาแม้จะเป็นสิ่งที่เราถือว่าประเสริฐที่สุดก็ตาม
พึงตระหนักว่าความเข้าใจอย่างลึกซึ้งนั้นไม่อาจเกิดขึ้นได้จากการสั่งสอนหรือการยัดเยียดความเห็นลงไป
แต่ต้องเกิดจากความพิจารณาไตร่ตรองด้วยตนเอง
สิ่งที่บุคคลภายนอกอาจทำได้เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
-แสดงความสงบ มั่นคง ให้กำลังใจ
และผ่อนปรน
-ยอมรับความรู้สึกของผู้ประสบเหตุการณ์ณ์
-พูดหรือสัมผัสร่างกายเพื่อให้ความมั่นใจ
-ให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับปัญหาเฉพาะอย่าง
เริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ ก่อน
-พยายามให้ได้ติดต่อกับญาติ
เพื่อนบ้าน หรือคนอี่น ๆ เพื่อสร้างระบบเครือข่ายการช่วยเหลือ
-ยอมรับข้อจำกัดของผู้ประสบภัย
-ช่วยให้ผู้ประสบภัยได้ระบายความรู้สึกเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
-ฝึกการฟังอย่างตั้งใจ
พยายามไม่ขัดคอ
-อย่าถกเถียงแม้ว่าจะไม่เห็นด้วย
-อย่ายัดเยียดทางแก้ปัญหาของตนเอง
พยายามเปิดโอกาสให้ผู้ประสบภัยได้ใช้ความคิดของเขาเอง
-เสนอข้อมูลหรือแหล่งให้ความช่วยเหลือ
-เสนอให้ความช่วยเหลือในการวางแผนเพื่อฟื้นฟูสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
-อย่าให้คำสัญญาในสิ่งที่ท่านไม่มั่นใจว่าจะทำได้
-ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์เท่าที่ผู้รอดชีวิตร้องขอ
แต่อย่าให้ขอมูลมากเกินความต้องการ
-ช่วยเตือนหรือบอกให้รู้ว่าการมีอารมณ์หลายอย่างพร้อมกันเป็นปฏิกิริยาปกติของผู้ประสบเหตุการณ์เช่นนี้
-สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ
อย่าบอกผู้รอดชีวิตว่าเขาไม่ควรจะรู้สึกอย่างที่เขากำลังรู้สึกอยู่
ถ้าเขารู้สึกผิดให้บอกเขาว่ามันไม่ใช่ความผิดของเขา แต่อย่าบอกเขาว่า
เขาไม่ควรจะรู้สึกผิด ถ้าเขาร้องไห้ท่านจะจับมือหรือโอบกอด (พิจารณาตามความเหมาะสมของฐานะ
เพศ วัย) ถ้าเชื่อว่ามันจะช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้น แต่อย่าบอกเขาว่าให้หยุดร้อนเพราะไม่ได้เจ็บ
เพราะบ่อยครั้งความเจ็บวดนั้นอยู่ในใจแม้ว่าเราจะไม่เห็นเลือดไหลออกมาก็ตาม
จาก ผลกระทบจากภาวะวิกฤตต่อสุขภาพจิต
โดย ผศ.ดร.สมบัติ ตาปัญญา ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
|