ตำแหน่งเลขานุการทางคณะสงฆ์
เป็นตำแหน่งพิเศษซึ่งบัญญัติไว้ในกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 23
(พ.ศ.2541) ว่าด้วยการปกครองคณะสงฆ์ และบัญญัติหน้าที่ไว้ว่า ทำหน้าที่การเลขานุการ
เจ้าคณะระดับตำบล อำเภอ จังหวัด ภาค หน เป็นตำแหน่งที่มีปริมาณงานมากและขอบเขตกว้างขวาง
งานซึ่งเกี่ยวกับเลขานุการย่อมมีมาก ต้องจัดผู้ทำหน้าที่ไว้โดยตรง
ท่านบัญญัติให้เลขานุการมีเฉพาะหน้าที่ มิได้ให้มีอำนาจดังเช่นตำแหน่งอื่นแม้เจ้าคณะจะมอบหมายอำนาจ
ก็หามีอำนาจตามที่มอบหมายไม่ จึงแตกต่างจากตำแหน่งรองเจ้าคณะ รองเจ้าอาวาส
และผู้ช่วยเจ้าอาวาส ซึ่งตำแหน่งรองเจ้าคณะเป็นต้นนี้ ตามปกติเป็นตำแหน่งไม่มีอำนาจหน้าที่
แต่เมื่อเจ้าคณะหรือเจ้าอาวาสมอบหมายแล้ว ย่อมมีอำนาจหน้าที่อย่างสมบูรณ์
เพราะเป็นตำแหน่งพระสังฆาธิการ บัญญัติไว้ เพื่อใช้อำนาจหน้าที่ช่วยผู้บังคับบัญชาโดยตรง
ส่วนตำแหน่งเลขานุการนั้น มิได้บัญญัติให้เป็นพระสังฆาธิการ บัญญัติให้มีเฉพาะหน้าที่และมิต้องมอบหมาย
ถ้าดูเพียงผิวเผินจะเข้าใจว่า เลขานุการเป็นตำแหน่งไม่มีความสำคัญเพราะไม่เป็นพระสังฆาธิการ
เอาตำแหน่งเป็นฐานพิจารณาความดีความชอบก็มิได้ ดังเช่น ตำแหน่งรองเจ้าคณะ
รองเจ้าอาวาส และผู้ช่วยเจ้าอาวาส แต่ถ้าพิจารณาแล้วจะเห็นว่า เลขานุการเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญต่องานคณะสงฆ์เป็นอย่างยิ่ง
ถึงมิใช่ตำแหน่งที่เป็นฐานพิจารณาความดีความชอบโดยตรง แต่ก็เป็นตำแหน่งที่เป็นฐานแห่งการสร้างความดีความชอบ
เป็นตำแหน่งที่ผู้ใหญ่ดูอย่างมีดุลยพินิจ ตำแหน่งผู้ปกครองสงฆ์ทุกตำแหน่ง
เป็นตำแหน่งที่มีการเลขานุการด้วยกันทั้งนั้นตำแหน่งใดมีเลขานุการ
การเลขานุการในตำแหน่งนั้น ก็เป็นหน้าที่ของเลขานุการ ตำแหน่งใดไม่มีเลขานุการผู้ดำรงตำแหน่งต้องทำหน้าที่การเลขานุการเอง
พระสังฆาธิการ แปลตามรูปศัพท์ว่า พระผู้ทำงานโดยสิทธิ์ขาดในทางคณะสงฆ์
โดยความหมาย ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 24 (พ.ศ.2541) ว่าด้วยการแต่งตั้งและถอดถอนพระสังฆาธิการ
หมายถึง พระภิกษุผู้ดำรงตำแหน่งปกครองคณะสงฆ์ 5 ระดับ ดังนี้ คือ
1. เจ้าคณะภาค รองเจ้าคณะภาค
2. เจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวัด
3. เจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอ
4. เจ้าคณะตำบล รองเจ้าคณะตำบล
5. เจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส
เจ้าคณะและเจ้าอาวาสดังกล่าวนี้ เป็นผู้ทำงานคณะสงฆ์อย่างมีอำนาจเต็มตามตำแหน่งโดยกฎหมาย
ส่วนรองเจ้าคณะ รองเจ้าอาวาส และผู้ช่วยเจ้าอาวาส เมื่อได้รับมอบหมายย่อมมีอำนาจเต็มเช่นเดียวกัน
ท่านจึงบัญญัตินามว่า พระสังฆาธิการ เทียบได้กับข้าราชการของฝ่ายราชอาณาจักร
ส่วนตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ และกรรมการมหาเถรสมาคม มิได้เป็นพระสังฆาธิการ
แต่ก็เสมือนเป็นผู้บังคับบัญชาพระสังฆาธิการ
ผู้ทำหน้าที่เกี่ยวกับหนังสือตามผู้ใหญ่สั่ง ท่านผู้รู้กล่าวว่า
เลขานุการในภาษาลาติน ตรงกับคำว่า ความลับ และอธิบายว่า เลขานุการเป็นผู้รู้ความลับในสำนักงาน
เลขานุการเป็นผู้เก็บความลับของผู้บังคับบัญชา ดังนั้น จึงพอกล่าวได้ว่า
เลขานุการ เป็นอุปกรณ์ของผู้ปกครองชั้นเจ้าคณะหรือผู้บริหารงานราชการ
หรือผู้บริหารงานธุรกิจ เลขานุการนั้น มิใช่เพียงรอทำงานตามสั่งเท่านั้น
เลขานุการจะกำหนดแผนงานเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาก็ย่อมกระทำได้
เลขานุการเป็นผู้เก็บความลับในวงงานแม้เป็นตำแหน่งช่วยเหลือผู้บังคับบัญชา
ก็ถือได้ว่าเป็นตำแหน่งที่สำคัญ
ส่วนเลขานุการในทางคณะสงฆ์ ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 23 (พ.ศ.2541)
ว่าด้วยการปกครองคณะสงฆ์ กำหนดตำแหน่งเลขานุการไว้ 8 ตำแหน่ง ดังนี้
คือ
1. เลขานุการเจ้าคณะใหญ่
2. เลขานุการเจ้าคณะภาค
3. เลขานุการรองเจ้าคณะภาค
4. เลขานุการเจ้าคณะจังหวัด
5. เลขานุการรองเจ้าคณะจังหวัด
6. เลขานุการเจ้าคณะอำเภอ
7. เลขานุการรองเจ้าคณะอำเภอ
8. เลขานุการเจ้าคณะตำบล
และยังมีเลขานุการซึ่งกำหนดพิเศษ เช่น เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เลขานุการ
แม่กองธรรมสนามหลวง ซึ่งเลขานุการทางคณะสงฆ์ทุกตำแหน่ง มิได้เป็นพระสังฆาธิการ
แต่เป็นอุปกรณ์การปฏิบัติงานของพระสังฆาธิการหรือผู้บังคับบัญชาซึ่งมีความสำคัญยิ่ง
หน้าที่ของเลขานุการ
เลขานุการทางคณะสงฆ์ เป็นตำแหน่งพิเศษตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งบัญญัติไว้เพื่อช่วยเหลือในการปฏิบัติงานของเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์
โดยกำหนดให้มีหน้าที่พร้อมกับการแต่งตั้ง แต่ไม่มีอำนาจดังเช่นเจ้าคณะ
หน้าที่เลขานุการคณะสงฆ์นั้น บัญญัติไว้โดยสรุปว่า
ทำหน้าที่การเลขานุการ มิได้แยกรายละเอียดแห่งหน้าที่ไว้ดังอำนาจหน้าที่ของเจ้าคณะ
หรือเจ้าอาวาส แต่คำว่า การเลขานุการ นั้น เป็นคำที่มีความหมายกว้างขวาง
เจ้าคณะผู้บังคับบัญชา มีอำนาจหน้าที่ขยายกว้างเพียงใด การเลขานุการย่อมขยายตามเพียงนั้น
หน้าที่การเลขานุการในการปกครอง การนิคหกรรม การศาสนศึกษา
การศึกษาสงเคราะห์ การเผยแผ่พระพุทธศาสนา การสาธารณูปการ และการสาธารณสงเคราะห์
ย่อมเป็นหน้าที่ของเลขานุการ แต่เลขานุการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะช่วยเหลือผู้บังคับบัญชา
มิได้ปฏิบัติในฐานะผู้รับผิดชอบ เพื่อสะดวกแก่การศึกษา
จึงประมวลหน้าที่ของเลขานุการ ทางคณะสงฆ์ที่เห็นว่าสำคัญ
7 ประการ คือ
1. จัดการทุกอย่างเกี่ยวกับงานสารบรรณ
2. รักษาผลประโยชน์และทรัพย์สินของสำนักงาน
3. ควบคุมดูแลกิจการต่าง ๆ ของสำนักงาน
4. จัดหาอุปกรณ์การปฏิบัติงานและอุปกรณ์ทางวิชาการไว้ประจำสำนักงาน
5. ดำเนินการเกี่ยวกับการประชุม
6. ประสานงานกับพระสังฆาธิการและหน่วยงานหรือบุคคลผู้เกี่ยวข้อง
7. ช่วยเหลือด้านสวัสดิการสังคม
คุณสมบัติของเลขานุการ
เลขานุการ เป็นตำแหน่งซึ่งมีความสำคัญต่อหน่วยงาน การคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งเลขานุการเป็นเรื่องที่สำคัญ
ในทางราชการได้กำหนดคุณสมบัติไว้ตามระเบียบราชการ ส่วนคุณสมบัติของเลขานุการทางคณะสงฆ์นั้น
อนุโลมตามคุณสมบัติทั่วไปของพระสังฆาธิการ ซึ่งกำหนดในข้อ 6 แห่งกฎมหาเถรสมาคม
ฉบับที่ 24 (พ.ศ.2541) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ เป็น
7 ประการ คือ
1. มีพรรษาสมควรแก่ตำแหน่ง
2. มีความรู้สมควรแก่ตำแหน่ง
3. มีความประพฤติเรียบร้อยตามพระธรรมวินัย
4. เป็นผู้ฉลาดสามารถในการปกครองคณะสงฆ์
5. ไม่เป็นผู้มีร่างกายทุพพลภาพ ไร้ความสามารถ มีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบหรือเป็นโรคเรื้อน
หรือเป็นวัณโรคในระยะอันตรายเป็นที่น่ารังเกียจ
6. ไม่เคยต้องคำวินิจฉัยโทษในอธิกรณ์ที่น่ารังเกียจ
7. ไม่เคยถูกถอดถอนหรือปลดออกจากตำแหน่งใดเพราะความผิดมาก่อน
ส่วนคุณสมบัติอื่นอันเลขานุการจะพึงมีนั้น กล่าวโดยสรุปเป็น 4 ประการ
คือ
1. มีบุคลิกลักษณะดี
2. มีความรูในวิชาเทคนิคเกี่ยวกับการเลขานุการ
3. มีพื้นความรู้ทั่วไปดี
4. ชอบฝึกงานเพื่อหาความชำนาญในวิชาการต่าง ๆ
ผู้จะเป็นเลขานุการได้ดี
และเจริญก้าวหน้าเพราะอาศัยงานเลขานุการเป็นพื้นฐานนั้น จะต้องเป็นผู้มีลักษณะพิเศษ
5 ประการ คือ
1. มีความคิดริเริ่มที่ดี
2. มีการเตรียมความพร้อมทางด้านจิตใจ
3. วางตนเหมาะสม
4. ปรารถนาความก้าวหน้า
5. มีความแม่นยำและประณีต
ประเภทของเลขานุการ
การเลขานุการ ได้แก่การปฏิบัติงานสารบรรณสนองผู้บังคับบัญชา หรือตามที่ผู้บังคับบัญชาสั่งการ
การเสนอแนะเกี่ยวกับการปฏิบัติ การรักษาความลับหรือข้อความอันไม่ควรเปิดเผยของหน่วยงาน
การติดต่อประสานงานแทนผู้บังคับบัญชา การดังกล่าวนี้เป็นงานในหน้าที่ของเลขานุการ
และเป็นงานที่มีอยู่ในหน่วยงานทั่วไป เช่น หน่วยงานคณะสงฆ์ หน่วยงานราชการ
หน่วยงานรูปคณะกรรมการ ดังนั้นตำแหน่งเลขานุการจึงมีมาก จนพูดถึงเลขานุการแล้ว
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปและเมื่อจะกล่าวโดยประเภท
เลขานุการมี 4 ประเภท คือ
1. เลขานุการประจำตำแหน่ง ได้แก่ เลขานุการประจำในตำแหน่งต่าง
ๆ เช่น เลขานุการเจ้าคณะใหญ่ และเลขานุการเจ้าคณะภาค
2. เลขานุการส่วนตัว ได้แก่ เลขานุการส่วนบุคคลหรือส่วนตัวของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
3. เลขานุการกิตติมศักดิ์ ได้แก่ เลขานุการผู้ปฏิบัติงานเพื่อเกียรติอย่างเดียวมิได้มุ่งหวังค่าตอบแทน
4. เลขานุการพิเศษ ได้แก่ เลขานุการผู้ดำรงตำแหน่งอื่นอยู่แล้ว
แต่รับตำแหน่งเลขานุการเพิ่มอีก เช่น เลขานุการคณะกรรมการ เลขานุการที่ประชุม
ประเภทของวิชาการ
วิชาเกี่ยวกับการปฏิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่เลขานุการ หรือวิชาที่เลขานุการจำเป็นต้องศึกษาเพื่อเป็นอุปกรณ์แห่งการปฏิบัติงานชื่อว่า
วิชาเลขานุการ ในส่วนนี้ จักกล่าวเฉพาะประเภทแห่งวิชาที่เลขานุการทางคณะสงฆ์จำเป็นต้องศึกษา
ซึ่งพอประมวลได้เป็น 7 ประการ คือ
1. พิมพ์ดีด
2. พระธรรมวินัยและกฎหมาย
3. งานสารบรรณ
4. การประชุม
5. การบัญชี
6. การดำเนินงานเกี่ยวกับการคณะสงฆ์
7. ความรู้รอบตัว
ในวิชาทั้ง 7 ประการ นี้
วิชาพิมพ์ดีด
หมายถึง การเรียนพิมพ์ดีดให้แม่นยำชำนาญ เข้าใจพิมพ์ การรักษา
การทำความสะอาด ตลอดจนถึงเข้าใจในการใช้เครื่องอัดสำเนา
วิชาพระธรรมวินัยและกฎหมาย
หมายถึง การศึกษาพระธรรมวินัยอันเป็นหลักการและวิธีการ การศึกษาพระราชบัญญัติคณะสงฆ์และบทบัญญัติที่เนื่องด้วย
พระราชบัญญัติและกฎ หรือข้อบังคับอื่นอันเกี่ยวกับการคณะสงฆ์ และกฎหมายอื่นซึ่งเกี่ยวข้องกับการคณะสงฆ์
ซึ่งได้แยกถวายความรู้โดยเอกเทศ
วิชาความรู้รอบตัว หมายถึง การศึกษาความรู้ทั่วไป อันเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานเลขานุการ
เช่น การไปรษณีย์ จิตวิทยา มนุษยสัมพันธ์ การใช้ภาษา
|