"พระแท่นวัชรอาสน์" (บัลลังก์เพ็ชร/โพธิบัลลังก์)
เป็นแท่นหินสี่เหลี่ยม สลักลวดลายศิลปกรรมสมัยพระเจ้าอโศก ซึ่งพระเจ้าอโศกทรงสร้างเป็นพุทธบูชาสถานที่พระพุทธเจ้าประทับตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ
ใต้ควงไม้พระศรีมหาโพธิ์ (สร้างครอบโพธิบัลลังก์เดิม) ในคืนวันเพ็ญเดือน
๖ วิสาขมาส ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี (หรือเมื่อ ๒๖๐๓ ปีที่ผานมา)
ผู้ที่เคยไปนมัสการสังเวชนียสถาน
แสวงบุญ ไว้พระ สวดมนต์ เจริญจิตตภาวนาในแดนพุทธภูมิ ซึ่งเป็นสถานที่จริงเกี่ยวกับพระพุทธองค์
เพียงแค่ได้กราบลงที่ต้นโพธิ์ หรือเริ่มนั่งสมาธิเท่านั้นจะรู้สึกและสัมผัส
"อะไรๆ" ได้ด้วยจิตของเราเองทันที ซึ่งยากยิ่งที่จะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้น..
คำ "ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ พระธรรมเป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงรู้ได้เฉพาะตน"
คนที่เคยไปสัมผัสแล้วเท่านั้นจะเข้าใจ สัมผัส และรู้สึกได้ ...
จะเข้าใจได้เลยทันทีถึงเหตผลที่พระพุทธองค์จึงตรัสสั่งก่อนปรินิพพานกระตุ้นเตือนให้เราชาวพุทธได้ไปนมัสการสังเวชนียสถาน
ผู้ที่เคยไปนมัสการสังเวชีนยสถาน
จะได้ดู ได้เห็น ได้ชม ได้รับประสบการณ์ตรง และได้สัมผัสสถานที่จริงที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า
ซึ่งเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์แสดงถึงความมีอยู่จริงของพระพุทธเจ้าของพวกเราชาวพุทธ
และเพื่อเป็นการดำเนินตามพระพุทธดำรัสซึ่งตรัสสั่งไว้ในราตรีที่จะปรินิพพานว่า
"สังเวชนียสถาน คือ สถานที่กุลบุตรผู้มีศรัทธา มีความเลื่อมใสควรจะดู
ควรจะเห็น ควรจะให้เกิดสังเวช" มี ๔ สถานที่ ได้แก่ ๑.สถานที่พระพุทธเจ้าประสูติ
๒.สถานที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ๓.สถานที่พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา
๔.สถานที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน... ดูก่อนพระอานนท์ ชนเหล่าใดเที่ยวจาริกไปยังสังเวชนียสถาน
๔ ตำบลนั้นแล้ว มีจิตเลื่อมใส ชนเหล่านั้นทั้งหมดเบื้องหน้าแต่ตาย
เพราะกายแตก จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ "
อย่าเพียงแค่ฟังเขาเล่าให้ฟัง
ลองพิสูจน์ รับประสบการณ์ตรง สัมผัสทุกอย่างเองสักครั้งดีไหม แล้วจะตอบคำถามได้ด้วยตนเองว่า
"จริงหรือเท็จ" อาหารจะรู้คุณค่าก็ต่อเมื่อได้ชิมลิ้มรสเอง
ดังนั้น หากต้องการ "สัมผัสกับความจริง โดยศึกษาพุทธประวัติเชิงลึกในสถานที่จริง
.. เปิดโลกทัศน์เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและพุทธประวัติ"
จึงใคร่ขอเชิญชวนชาวพุทธ
"อย่างน้อยสักครั้งหนึ่งในชีวิต" ควรหาโอกาสที่ดีให้แก่ตัวเองเพื่อจะได้ไปแสวงบุญ
ไปดู ไปรู้ ไปเห็น ไปสัมผัส ไปไหว้ ไปสักการะ นมัสการสังเวชนียสถาน
แล้วท่านจะถามตัวเองว่า "เราน่าจะมาตั้งนานแล้ว ทำไม เราจึงปล่อย
วัน เวลา และโอกาสให้ล่วงเลยมายาวนานถึงเพียงนี้ "
-------------------------------------------------
"ประวัติต้นพระศรีมหาโพธิ์ทั้ง ๔ ต้น ที่พุทธคยา แดนตรัสรู้"
ข้อมูลเพิ่มเติมที่เราชาวพุทธควรรู้
พุทธคยา
เป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระสัมมาพุทธเจ้า โดยมีต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นต้นไม้แห่งการตรัสรู้
ต้นพระศรีมหาโพธิ์แห่งนี้รวมทั้งหมด ๔ มีต้น และทั้ง ๔ ต้นนี้ได้เจริญเติบโตทดแทนกันมาเรื่อยๆ
จากที่เดิมและมีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน นับเป็นอนุสรณ์สถานที่มีคุณค่า
ของชาวพุทธและมวลมนุษยชาติทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันพุทธคยาได้ถูกยกให้เป็นมรดกโลกตั้งแต่
ปีพ.ศ. ๒๕๔๕
ต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นที่หนึ่ง
เป็นต้นที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ พระองค์ได้รับการถวายหญ้ากุสะจำนวน
๘ กำ จากโสตถิยะพราหมณ์เพื่อปูเป็นที่ประทับเมื่อใกล้รุ่งของวันเพ็ญ
เดือน ๖ จึงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระองค์ตรัสว่า ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นต้นไม้แทนพระพุทธองค์
หากใครได้ไหว้ได้สักการะต้นพระศรีมหาโพธิ์ก็เท่ากับว่าได้ไหว้สักการะพระพุทธองค์
และหลังจากที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว มีผู้เลื่อมใสศรัทธามากราบไหว้ต้นพระศรีมหาโพธิ์
เป็นจำนวนมาก สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภ์
ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเป็นอันมากเช่นทรงสร้างพระเจดีย์ถวายเป็นพุทธบูชาจำนวนถึง
๘๔๐๐๐ องค์ ซึ่งทำให้พระเจ้าอโศกมหาราชไม่สนพระทัยในความสุขส่วนพระองค์เหมือนเช่นเคย
ว่างเว้นจากราชกิจก็มาปฎิบัติธรรมใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ไม่กลับวังที่ประทับจึงเป็นเหตุให้เหล่านางสนมทั้งหลายต่างพากันโกรธแค้น
อิจฉาต้นพระศรีมหาโพธิ์ พระมเหสีองค์ที่ ๔ ของพระเจ้าอโศกมหาราชนามว่า
มหิสุนทรี ได้สั่งสาวใช้ให้นำยาพิษ และน้ำร้อนแอบไปรดที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์จนทำให้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ตายไปในที่สุด
การตายของต้นพระศรีมหาโพธิ์ทำให้พระเจ้าอโศกมหาราช ทรงเสียพระทัยมาก
ทรงรับสั่งให้ใช้น้ำนมโค ๑๐๐ หม้อ ไปรดที่บริเวณรากของต้นโพธิ์
และทรงอฐิษฐานพร้อม กับการสักการะก้มกราบพระองค์ทรงมีพระราชปรารภว่า
หากแม้ว่าต้นพระศรีมหาโพธิ์ไม่แตกหน่อ ขึ้นมาแล้วไซ้ร์จะไม่ยอมลุกขึ้นเป็นอันขาด
ด้วยพุทธานุภาพและพระราชศรัทธาอันแรงกล้าแห่งพระเจ้าอโศกมหาราช
ต้นพระศรีมหาโพธิ์ก็แตกหน่อขึ้นมาใหม่ พระองค์ดีพระทัยเป็นอันมากจึงสั่งให้ก่อกำแพงล้อมรอบ
เพื่อป้องกัน อันตรายที่จะเกิดขึ้นกับต้นโพธิ์อีก
ต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นที่สอง
ถือเป็นต้นที่แตกหน่อมาจากต้นแรก และการที่พระเจ้าอโศกได้เผยแผ่
พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก จึงมีการนำต้นโพธิ์ไปปลูกในประเทศต่างๆ
เช่น พระโสณะเถระและพระอุตตรเถระเดินทางมา ยังดินแดนสุวรรณภูมิ
และพระมหินทเถระ สังฆมิตราเถรีเดินทางไปยังศรีลังกา โดยพระภิกษุเหล่านี้ได้นำต้นโพธิ์หรือกิ่งพระศรีมหาโพธิ์ไปด้วย
ต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นที่สองถูกทำลายอีกครั้ง ในสมัยพระเจ้าสาสังการ
แห่งฮินดู ซึ่งครองเมืองเบงกอล พระเจ้า สาสังการเกิดแข็งข้อต่อพระเจ้าปรณวรมา
จึงรับสั่งให้ตัดต้นและขุดรากต้นโพธิ์ใช้ฟางอ้อยสุม ใช้น้ำมันราด
และเผาต้นพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งมีอายุราว ๘๗๑-๘๙๑ ปี เจ็ดวันหลังจากนั้น
พระเจ้าสาสังการทรงอาเจียนเป็น พระโลหิต และสิ้นชีพตักษัยที่พุทธคยา
ซึ่งพระเจ้าปรณวรมาเสด็จมาพอดี จึงตีทัพของเบงกอลแตกพ่ายไป และทรงให้ชาวบ้านรีดนมโค
๑,๐๐๐ ตัว เอาน้ำนมที่ได้เทราดบริเวณต้นโพธิ์ที่ถูกเผา พระเจ้าปรณวรมา
ทรงนอนคว่ำหน้าลงกับพื้นพร้อมอฐิษฐานตามแบบพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งต้นพระศรีมหาโพธิ์ก็แตกหน่อขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นที่สาม
ในปี พ.ศ. ๒๔๑๘ ท่านเซอร์คันนิ่งแฮม หัวหน้าคณะสำรวจพุทธสถานในช่วงอังกฤษปกครองอินเดียได้เดินทางไปที่พุทธคยาเป็น
ครั้งที่สอง พบว่าต้นพระศรีมหาโพธิ์ทรุดโทรมมาก ประชาชนชาวฮินดูในบริเวณนั้นได้ตัดกิ่งก้านไปทำเชื้อเพลิง
และในปี พ.ศ. ๒๔๒๑ ต้นพระศรีมหาโพธิ์เบียดกับเจดีย์พุทธคยาได้ล้มลงไปทางทิศตะวันตกและตายไปเอง
ต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นที่สามมีอายุครบ ประมาณ ๑๒๕๘-๑๒๗๘ ปี
ต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นที่สี่ เป็นต้นที่ยังคงอยู่ที่พุทธคยาในปัจจุบัน
เป็นหนึ่งในสองหน่อที่แตก ขึ้นมาจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นที่สามที่ล้มตายไป
โดยท่านเซอร์คันนิ่งแฮมได้บำรุงดูแลหน่อที่เกิดมานั้นเมื่อปี พ.ศ.๒๔๒๓
และนำอีกหน่อหนึ่งไปปลูกไว้ด้านทิศเหนือของเจดีย์พุทธคยาห่างจากต้นเดิมประมาณห้าสิบเมตร
ปัจจุบันต้นพระศรีมหาโพธิ์ทั้งสองต้นยังคงอยู่มีอายุได้ถึงทุกวันนี้
อายุได้ ๑๒๙ ปีเต็ม ท่านสาธุชนผู้ศรัทธาสามารถเดินทางไปสักการะได้ด้วยตนเอง
ปัจจุบันนี้มีสายการบินไทยบินตรงจากสุวรรณภูมิถึงพุทธคยาโดยใช้เวลาบินเพียง
๓ ชั่วโมง ๑๕ นาทีเท่านั้นท่านก็ได้สักการะต้นพระศรีมหาโพธิ์แล้ว
ขอบขอบพระคุณ "เรื่องโดย พระครูปริยัติโพธิวิเทศ(คมสรณ์,Ph.D)
พระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย" ไว้ ณ ที่นี้
-----------------------------
ภาพประกอบบางภาพจากอินเตอร์เนต ขออนุโมทนาเจ้าของภาพไว้ ณ ที่นี้
ปณิธาน/อนุญาตแชร์ได้
: ทุกข้อความ ทุกภาพประกอบที่ปรากฏในเฟชนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ข้าพเจ้า(พระมหาบุญโฮม
วัดท่าไทร) ขอมอบให้เป็นสมบัติสาธารณะ โดยทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน
ท่านที่ต้องการแชร์ ขอเชิญตามอัธยาศัย (โดยไม่ต้องขออนุญาตอีก)
ขออนุโมทนาบุญ ขอให้ได้รับบุญกุศลจากการเผยแพร่ธรรมะด้วยกัน ขอให้มีความสุข
ความเจริญรุ่งเรือง ทั้งชาตินี้และชาติหน้าโดยทั่วกัน สาธุๆๆ
กลับไปหน้า
Web วัดท่าไทร
ไป Web สำนักงานเจ้าคณะภาค
๑๖
ไป
Web ศูนย์พัฒนาคุณธรรมภาคใต้
ไป
Web วิทยุชุมชนตำบลท่าทองใหม่
ไป Web ชมรมวีอาร์ร้อยเกาะสุราษฎร์ธานี
|