พระคุณของพ่อ
โดย เกลียวธรรม ************************************************************ |
|
การแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ ด้วยการแสดงออกทางกาย วาจา จากใจจริงอันอ่อนน้อมอ่อนโยน | |
ย่อมมีผล.. ก่อเกิดความซาบซึ้งประทับใจยิ่งนัก ซึ่งเป็นกรรมดี ส่งผลต่อจิตใจของผู้รับและผู้พบเห็นแน่ ๆ | |
แต่ปัจจุบันนี้ สภาพ "สังคมลูกบังเกิดเกล้า" แพร่เชื้อระบาดไปทั่ว ไม่ว่าในสังคม "ไฮโซ" หรือ | |
"สังคมชาวบ้าน"
ทั่ว ๆ ไป คนใหญ่โตร่ำรวยก็ปรนเปรอตามใจลูก "เสียจนหลงทิศผิดทาง"
วางก้ามเกเร ใช้อำนาจ ถึงกับวางแผนฆ่า "พ่อ" ตัวเองดังที่เป็นข่าวใหญ่ การศึกษาที่หลงแต่วิชาการ มุ่งเอารัดเอาเปรียบ ขาดการเน้นจริยธรรมปฏิบัติศีลอันดีงามควบคู่ไปด้วย ก็ทำให้เด็ก "หลงระเริงภูมิปัญญา" บ้าวิชาการ มอง พ่อแม่ไร้ค่า ล้าหลัง ขาดวิสัยทัศน์ |
|
"ทำไม
? ลูกของเราจึงเป็นอย่างนี้หนอ ?" หลายคนรำพึง มีนักปราชญ์ผู้รู้กล่าวว่า "ปัญหาสังคมที่แก้ไม่ได้ เพราะการศึกษาศาสนาพุทธผิดพลาด" |
|
นับว่าเป็นคำพูดที "่มีค่า" ควรแก่การตรึกตรองศึกษาหาความจริง.. เพื่อสังคม "ชาวพุทธ" ของเราหรือไม่ ? | |
คืนนั้น ฝนตกยังกับเทน้ำลงจากฟากฟ้า เสียงจั๊ก ๆ กระทบหลังคาบ้านดังไม่ขาดสาย ฟ้าร้องลั่น | |
ครืน
!
ไม่ขาดระยะ สลับกับเสียงฟ้าฝ่า
เปรี้ยง ๆ
! แต่ละครั้งหัวใจแทบหลุดหยุดเต้น
เสียว... สยอง.. วาบ
กลัว ว่าเคยพูด "พล่อย ๆ" สบถสาบานไม่จริงออกไป เกิดฟ้าพิโรธลงทัณฑ์เอาจริง ๆ คงไหม้เกรียมดำเป็นตอ ตะโกแน่ ๆ ผมกำลังนอนอบอุ่นอยู่ใน "ผ้าผวย" เก่า ๆ อันแสนรัก.. คุดคู้คิดอะไรเพลิน ๆ ตามประสาเด็ก ๆ ทันใดนั้นเอง... |
|
"ไอ้ไข.. ไอ้ไข.. ลุกขึ้น" (ไอ้ไข คือคำเรียกลูกผู้ชายของชาวใต้) เสียงพ่อดังลั่นมาจากอีกห้อง | |
หนึ่ง แข่งกับเสียงสายฝนกระทบหลังคา | |
"ทำไม
พ่อ ?" ผมร้องถามไป "เอ็งลงไป วิดน้ำในเรือเถอะ" พ่อสั่งผม โธ่..พ่อ.. ผมกลัวฟ้าผ่า กลางคืนยิ่งฟ้าแลบแว้บ ว๊าบ.. ผมกลัวผีด้วย.. ตอนฟ้าแลบ |
|
เกิดมองเห็นอะไรยืนยิ้มอยู่ใกล้
ๆ แล้ว ผมช็อคตายแน่ ๆ" คร่ำครวญอยู่ในใจ ขณะที่นิ่งเงียบ ไม่ยอม ลุกขึ้นจากที่นอน |
|
"ไอ้ไข.." "ครับ" ผมขานรับเบา ๆ " เดี๋ยวเรือก็จมเท่านั้นเอง ข้าวของสูญหายหมด" พ่อย้ำให้ผมลุกขึ้น ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดู |
|
แล้ว รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยนัก | |
ผมรีบสลัดผ้าห่มออกจากตัว ลุกขึ้นเดินออกจากบ้าน ไปที่ท่าน้ำจอดเรือ "โอ้.. เรือกำลังปริ่ม ๆ | |
น้ำ
จะจมจริง ๆ ด้วย" ผมลงไป ใช้กระป๋องใบโตตักน้ำออกจากเรืออย่างรีบเร่ง
แข่งกับ "ห่าฝน" ที่ตกลงมา อย่างกับฟ้ารั่ว "บ้า.. ตกอะไรกันหนา ?" ผมแช่งฟ้า ด่าเทวดา อย่างอารมณ์เสีย น้ำตาลูกผู้ชายตัวน้อย ๆ ไหลอาบแก้มด้วย "ความกลัว" แต่ผมก็กลัว "พ่อ" มากกว่ากลัวฟ้ากลัวผี จึงกัดฟันฝืนสู้ |
|
น้ำในท้องเรือ เริ่มแห้งขอดแล้ว แต่น้ำตายังไหล "ปน" กับน้ำฝนที่เริ่มสร้างซา "พ่อไม่รักผม | |
เสือกใสบังคับลงมาให้ฟ้าผ่าตายหรือไง
? ส่วนพ่อน่ะนอนสบาย ๆ"
ผมคิดคร่ำครวญด้วยความ น้อยใจพ่อ |
|
มันเป็นเหตุการณ์ที่ผมรู้สึกกลัวที่สุดในชีวิตที่ผ่านมาจริง
ๆ พ่อไม่เคยด่าหรือตีผมหรอก แต่ผมก็เคยเจ็บมากับมือพ่อ จึงมีความกลัวพ่อมาก แม่ทั้งตีทั้งด่า |
|
อยู่บ่อย ๆ เพราะผมดื้อ หนีเที่ยวเป็นประจำ แต่ผมไม่กลัวแม่มากเท่าพ่อ | |
ที่โรงเรียน คุณครูจะนิมนต์พระภิกษุที่อยู่วัดใกล้ ๆ มาแสดงธรรม เล่า "นิทานชาดก" ให้นักเรียน | |
ฟังทุกวันศุกร์ และก่อนจะปล่อยนักเรียนกลับบ้าน จะมีการสวดมนต์ไหว้พระกันทุกห้อง ทุกชั้นเรียน ทุกวัน | |
"การศึกษาของเด็กสมัยนั้น มิได้ห่างเหินวัดวาอารามเหมือนกับยุคปัจจุบันนี้" เด็ก ๆ | |
ทุกคน
เวลาเดินสวนกับพระภิกษุสามเณร จะรีบนั่งลงยกมือไหว้อย่างนอบน้อม เจอคนเฒ่าคนแก่ก็ยกมือไหว้ อย่างอ่อนโยนเช่นเดียวกัน ไม่มีเด็กแสดงกิริยาก้าวร้าวต่อครู อาจารย์ หากโดนครูลงโทษเฆี่ยนตีที่โรงเรียน พอกลับมาถึงบ้านจะปกปิดพ่อแม่เงียบกริบ หวั่นกลัวว่าจะโดนซ้ำอีกรอบหนึ่ง |
|
หลาย ๆ อย่างที่พ่อบังคับ ขัดใจผมให้ต้องลำบากตรากตรำ น้ำตาไหล เสี่ยงอันตรายอย่างโดดเดี่ยว | |
เดียวดาย
สร้างความไม่ชอบใจ น้อยใจในตัวพ่อมาก แต่ผมก็ไม่ได้มีกิริยาก้าวร้าวต่อผู้ให้กำเนิด
คงเป็นผลมา จากการอบรมอย่างเข้มงวดของครู "หัวโบราณ" ี่ไร้ปริญญาแต่เปี่ยมด้วยคุณธรรมในสมัยนั้นแน่ |
|
วันเวลาผ่านไป ผมเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีครอบครัว มีลูกชายลูกสาวที่ต้องปกป้องคุ้มครอง ดูแลให้ | |
ปลอดภัยจากอันตรายต่าง
ๆ ที่อาจมาจากสังคมที่ "วิปริต" ไปจากศีลธรรมแล้วอย่างน่าเป็นห่วง
และหลาย ๆ เหตุการณ์ที่ผมเป็นผู้กล้าแกร่งเข้มแข็ง ทำหน้าที่ "กัปตันเรือ" ได้ดี จึงได้สำนึกและเข้าใจ "พ่อ" |
|
การเคี่ยวเข็ญให้เผชิญความยากลำบากและอันตรายนั้นเอง ทีหล่อหลอมให้ผมเป็นผู้นำที่มั่นใจ | |
ตัวเอง
เลิกกลัวฟ้า กลัวฝน กลัวคน กลัวผี เหมือนตอนเด็ก ๆ ก่อเกิดความซาบซึ้งประทับใจ
ในเจตนาของพ่อ ที่ผ่าน ๆ มา ความไม่เข้าใจ ไม่ชอบใจ น้อยใจที่เคยมีนั้น ได้มลายหายไปหมดสิ้น และยังสืบทอดเจตนาการ สอน โดยใช้กลวิธีให้ลูกทั้ง ๒ เป็นเด็กอดทน แข็งแรง พึ่งตัวเองได้ ลูก ๆ สามารถเรียนจบ "ปริญญาตรี" ได้ ด้วยตนเองอย่างน่าภาคภูมิใจ |
|
ศาสนาพุทธมีอิทธิพลสอนให้ผมเข้าใจ "สาระสัจจะ" มากยิ่ง ๆ ขึ้น สร้างความอ่อนน้อมถ่อมตน | |
กตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ผู้มีพระคุณได้อย่างน่าประหลาดใจ
เช่น ผมไม่เคยกราบพ่อเลย ได้แค่ยกมือไหว้ เท่านั้น แต่เมื่อได้ศึกษาและปฏิบัติธรรม จิตใจก็ปรับเปลี่ยนไปมาก กล้ากราบแทบเท้าพ่อแม่ได้อย่างอ่อน โยนนอบน้อมจริงใจชัดเจน จนพ่อตกตะลึงขณะที่ผมกราบครั้งแรกที่แทบเท้าของท่าน ต่อเมื่อผมไปมา และ กราบแทบเท้าท่านบ่อย ๆ ท่านจึงยกมือพนมรับการกราบอย่างอ่อนโยนเช่นเดียวกัน |
|
พ่อป่วยเป็นโรคมะเร็งที่ปอด
ต้องเข้า ๆ ออก ๆ รักษาตัวที่โรงพยาบาลหลายครั้ง ผมแม้เป็นลูกชายที่มีครอบครัวแล้วก็ตั้งใจไปช่วยดูแลปรนนิบัติ เช็ดล้างอุจจาระ ปัสสาวะ นอน |
|
เฝ้าที่ใต้เตียงพ่อได้ไม่แพ้ลูกผู้หญิงคนไหนเลย
คิดขึ้นมาน่าประหลาดใจตัวเองเหมือนกัน ที่เราเปลี่ยนแปลง "พฤติกรรม"
ได้ถึงขนาดนี้ หากก่อนพบศาสนา ก่อนปฏิบัติธรรมแล้ว ผมคงต้องปล่อยหน้าที่ของลูกอันสำคัญ
ที่สุดนี้ให้เป็นหน้าที่ของพี่สาวและภรรยาของผมแน่ ๆ เลย |
|
พ่อได้จากผมไปอย่างสงบ หลังจากที่หมอได้พยายามช่วยรักษาสุดความสามารถ หลายคนร้องไห้ | |
หลายครั้งแล้วแต่ก็ร้องไห้อีก
เมื่อหมอบอกว่า "ท่านสิ้นลมแล้ว" แต่ผมมิได้ร้องไห้ แต่บอกกับพ่อในใจว่า
"พ่อครับ ผมจะจัดพิธีศพแบบพุทธให้ ให้เกิดเป็นบุญกุศลมากที่สุดเท่าที่บารมีผมจะทำได้ ผมขอทดแทนคุณพ่อในครั้งสุดท้ายอย่างนี้ครับ" |
|
************************************************
|
|
กลับหน้าหลัก |