เมื่อ คุณทักษิณ ชินวัตร ประกาศว่าพระไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
ผมรู้สึกแปลกใจมาก เพราะท่านอายุห่างจากผมพอสมควร คงรอดพ้นจากความเข้าใจคับแคบอย่างนี้
ซึ่งเป็นสมบัติของคนรุ่นผมต่างหาก
ทฤษฎีเรื่องพระไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับการเมืองนั้นค้นไม่เจอในพระวินัยหรอกนะครับ
กล่าวคือ ไม่มีบัญญัติห้ามข้อนี้เอาไว้ ควรหรือไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับการเมืองต้องไปขึ้นอยู่กับว่าการเมืองแปลว่าอะไร
หรือนี่เป็นประเพณีของคณะสงฆ์ไทยที่มีมาแต่โบราณกาล
พระราชพงศาวดารอยุธยาซึ่งเขียนในสมัยต้นรัตนโกสินทร์พูดถึงสมเด็จพระพนรัตน์
เข้าไปขอชีวิตไพร่นายที่ติดตามสมเด็จพระนเรศวรไปไม่ทันจนทรงตกอยู่ในวงล้อมข้าศึก
และทรงทำยุทธหัตถีจนชนะข้าศึก สมเด็จพระนเรศวรก็โปรดพระราชทานชีวิตตามที่ขอ
อย่างนี้จะเรียก
"การเมือง" หรือไม่ ? คิดเฉพาะเรื่องอำนาจทางการเมืองอย่างเดียวนะครับ
เหล่าไพร่นายจำนวนมากรอดชีวิตมาได้เพราะสมเด็จพระพนรัตน์ ฉะนั้น จึงกุมความจงรักภักดีของคนเหล่านั้นไว้ได้อีกนาน
จะเอาความจงรักภักดีนี้ไปใช้ในทางไหนก็ได้
ผมไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรหรือไม่
อาจแต่งกันขึ้นเองในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์นี้ก็ได้ ถึงกระนั้นก็แสดงว่าตอนต้นกรุงรัตนโกสินทร์ยังไม่ได้คิดห้ามพระไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
และอันที่จริงถ้าย้อนกลับไปอ่านหลักฐานฝรั่งในสมัยอยุธยา
ก็จะพบการยุ่งเกี่ยวกับการเมืองของพระเยอะแยะไปหมด นับตั้งแต่นักการเมืองบวชเป็นพระเพื่อใช้เป็นฐานแย่งอำนาจ
(หรือชิงราชสมบัติ) ไปจนถึงหนีราชภัยไปบวช หรือพระช่วยปกป้องเชื้อพระวงศ์บางองค์ไม่ให้ถูกประหาร
ในปลายสมัยพระนารายณ์
บาทหลวงฝรั่งเศสคนหนึ่งรายงานว่า ภิกษุสงฆ์ที่ลพบุรีถึงขนาดจัดเดินขบวนประท้วงนโยบายเปิดประเทศให้ทหารฝรั่งเศสกันเลย
เมื่อตอนที่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ
เสด็จสวรรคตแล้ว สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ซึ่งได้ใช้กำลังปิดช่องล้อมวงทั้งในพระบรมมหาราชวัง
และวังสราญรมย์อันเป็นที่ประทับของพระราชโอรสองค์ใหญ่ไว้เรียบร้อยตามธรรมเนียมโบราณแล้ว)
ได้เชิญคนสำคัญของแผ่นดินมาประชุมกัน ได้แก่พระบรมวงศานุวงศ์, ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
แล้วยังมีสมเด็จพระราชาคณะด้วย เพื่อจะตัดสินใจเลือกเจ้านายขึ้นครองราชสมบัติต่อไป
จริงอยู่ ในความเป็นจริงแล้ว
สมเด็จเจ้าพระยาฯ มีอำนาจสูงสุด จะเสนอเจ้านายองค์ใดก็องค์นั้น ไม่มีใครกล้าขัด
แต่การประชุมเป็นพิธีกรรมทางการเมืองเพื่อสร้างความชอบธรรมทั้งแก่พระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่
และแก่อำนาจของสมเด็จเจ้าพระยาฯ เอง แต่ในการประชุมทางการเมืองนั้น
กลุ่มคนที่ขาดไม่ได้คือพระ
พระในสังคมไทยได้รับความเคารพนับถือและเชื้อฟังมาก
อำนาจทางวัฒนธรรมของพระจึงมีสูง และอำนาจอันนี้ก็อาจถูกบุคคลหรือองค์กรสงฆ์เบนมาใช้ในทางการเมืองได้
ฉะนั้น พระในฐานะบุคคลก็ตาม สถาบันก็ตาม จึงอาจคุกคามอำนาจทางการเมืองของผู้ปกครองได้อย่างน่ากลัว
ปัญหานี้ทุเลาลงในสมัยรัชกาลที่
๕ หลังการปฏิรูปคณะสงฆ์ พระเจ้าแผ่นดินในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
จึงมีพระราชอำนาจเหนือสถาบันสงฆ์และพระภิกษุแต่ละองค์ได้อย่างค่อนข้างเด็ดขาด
อย่างที่พระเจ้าแผ่นดินไทยไม่เคยมีมาก่อน
ผมเดาว่าคติพระไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับการแผ่นดินแผ่นทรายคงจะเริ่มมีมานับตั้งแต่นี้
แต่การแผ่นดินมีความหมายแคบกว่าการเมือง เพราะหมายถึงเพียงอย่าทำอะไรให้กระทบต่ออำนาจของรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม จะตัดสินอย่างไรว่าการแผ่นดินอะไรที่ธรรมะไม่ควรเข้าไปเกี่ยว
ไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ ถ้าพระเทศน์ให้จับอาวุธขึ้นสู้กับทหารรัฐบาล
อันนี้ผิดทั้งพระวินัยและอาญาบ้านเมืองแน่ แต่ถ้ารัฐบาลดำเนินนโยบายที่ขัดต่อหลักพระพุทธศาสนา
(เช่น ฆ่าตัดตอนคนที่ถูกกล่าวหาว่าพัวพันกับยาเสพติด) พระท่านก็เทศน์ชี้โทษของการฆ่า
และการแก้ปัญหาโดยขาดความเคารพต่อชีวิต อย่างนี้จะถือว่าเป็นการแผ่นดินแผ่นทรายหรือไม่
ในเมื่อการทำชีวิตให้ตกไปนั้นขัดกับคำสอนของพระพุทธเจ้าแน่
ผมเข้าใจว่ารัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่กล้าตัดสินออกมาชัดๆ
ในเรื่องนี้ ฉะนั้น จึงมีความพยายามจะหาเหตุผลทางศาสนาให้แก่การกระทำของตนเองเสมอ
เพื่อปิดปากพระหรือโน้มน้าวให้พระไม่ต่อต้าน เช่นในสมัย ร.๖ ก็ต้องระดมพระและฆราวาสหลายรูปและคน
เพื่อออกมาเขียนหรือพูดเพื่อชี้ให้เห็นว่า การเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่
๑ นั้นไม่ขัดกับหลักของพระศาสนา รวมทั้งทรงพระราชนิพนธ์เรื่องธรรมาธรรมะสงครามด้วย
พระก็ต่อต้านน้อยหรือแทบจะไม่ได้ต่อต้านเลย
จะเป็นเพราะเชื่อหรือกลัวก็ตามเถิด
แต่ประเด็นก็คือ
ถึงใจจะคิดอยากห้ามไม่ให้พระยุ่งเกี่ยวกับ "การเมือง" ซึ่งเขาหมายความในตอนนั้นคืออำนาจรัฐเท่านั้น
แต่ก็ไม่ได้ห้ามออกมาตรงๆ
ผมเข้าใจว่า คนที่กล้าพูดอย่างนี้ออกมาตรงๆ
เป็นคนแรกคือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เพราะผมเรียนรู้คตินี้มาจากหนังสือพิมพ์สยามรัฐ
เนื่องจากเมื่อผมเป็นเด็กนั้นบ้านผมเป็นแฟนหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ จึงโตมากับความคิดเห็นแบบสยามรัฐๆ
นี่แหละ และรู้สึกแปลกใจที่คนรุ่นหลังจากผมขนาดคุณทักษิณยังถือคติสยามรัฐอยู่ได้ไง
แต่คตินี้เป็นคติที่คับแคบมาก
เริ่มจากการนิยามการเมืองก็แคบ เช่นคุณคึกฤทธิ์เองก็เขียนไว้หลายครั้งหลายหนว่า
เมืองไทยไม่เคยมีการเมืองจนถึงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕
ผมไม่แน่ใจว่าท่านจะหมายความอย่างไร
เพราะถึงนิยามการเมืองให้แคบเหลือเพียงการแย่งอำนาจกันในระดับสูง ก็ดูเป็นการกล่าวเท็จอย่างหน้าด้านๆ
เพราะการแย่งอำนาจกันในระดับสูงนั้นทำกันเป็นปกติในเมืองไทย (ที่จริงในเมืองอื่นๆ
ทั่วโลกด้วย) มาตั้งแต่โบราณกาล จารึกสุโขทัย (หลักที่ไม่ปลอม) พูดถึงพระเจ้าลิไทยกกองทัพจากศรีสัชนาลัยมาสุโขทัย
แล้วเอา "ขวานประหารประตู" เข้าไปยึดอำนาจจากใครไม่รู้ที่ครองสุโขทัยอยู่เวลานั้น
จะพูดเฉพาะสมัยสมบูรณายาสิทธิราชย์
คือ จาก ร.๕ - ๗ ว่าคนชั้นสูงไม่แย่งอำนาจกันเลย ใครได้เป็นกษัตริย์แล้ว
คนอื่นๆ ต่างสยบยอมหมด ก็ไม่จริง ยิ่งถ้าดูระดับต่ำลงมากว่าราชบัลลังก์
เจ้านายในสมัยนั้นขบเหลี่ยมขบคมกันในคณะเสนาบดีอย่างถึงพริกถึงขิง
แต่แทนที่จะโค่นอำนาจกันด้วยกำลังอาวุธ ก็โค่นกันด้วยวิธีอื่นที่แนบเนียนกว่าแทน
เช่น ใช้ลมเป่าหูเบื้องบน เป็นต้น
ความพยายามของชนชั้นปกครองในการกีดกันพระออกไปจากการเมืองนั้น
สรุปให้เข้าใจง่ายๆ จึงเหลือแต่ป้องกันไม่ให้พระไปขัดขวางหนทางแห่งอำนาจของตัวเท่านั้น
เช่น ไปทำอะไรที่จะช่วยให้ศัตรูทางการเมืองของตนได้เปรียบ หรือบ่อนทำลายอำนาจของตัว
แต่ถ้าพระจะยุ่งเกี่ยวกับการเมืองในทางส่งเสริมอำนาจของเขา
อย่างนั้นก็ยุ่งกับการเมืองได้ ไม่เฉพาะแต่คุณทักษิณเท่านั้นที่พอใจเมื่อพระบางรูปพูดสนับสนุนตนเอง
ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งไม่อยากให้พระยุ่งการเมืองแผ่นดินแผ่นทราย
ก็พอใจหรือส่งเสริมให้พระเทศน์ท้องเรื่อง "ราชาเป็นสง่าแห่งแคว้น"
เหมือนกัน
อันที่จริง ถ้าพระเข้าไปยุ่งกับการแย่งอำนาจ
ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายที่ถืออำนาจในมือ หรือฝ่ายที่ต้องการแย่งอำนาจจากมือคนอื่น
คำถามที่น่าจะถามก็คือ ยุ่งทำไม ถ้ายุ่งเพื่อตัวจะได้มีส่วนแบ่งของอำนาจบ้าง
ก็จริงอย่างที่คุณทักษิณพูด นั่นก็คือ สึกออกมาแย่งอำนาจกันตรงไปตรงมาเลยดีกว่า
เพราะอำนาจของพระควรเป็นอำนาจทางศีลธรรม
แต่เราไม่อาจแยกอำนาจทางศีลธรรมออกไปจากอำนาจทางการเมืองหรือเศรษฐกิจหรืออะไรอื่นได้
เช่นเดียวกับการแย่งอำนาจทางการเมืองก็มีมิติทางศีลธรรมแฝงอยู่อย่างสำคัญ
(ที่การเมืองไทยแย่อย่างนี้ก็เพราะมิตินี้มันแทบไม่ได้แฝงอยู่เลย)
เนื่องจากกติกาทางกฎหมายหรือแรงกดดันทางสังคมอย่างเดียวไม่เพียงพอ
เป็นต้นว่าการไม่ซื้อเสียงไม่ได้เกิดจาก กกต. ที่เข้มแข็งเพียงอย่างเดียว
แต่เกิดจากความเลื่อมใสสิ่งที่ถูกต้องและเป็นธรรมซึ่งเป็นความรู้สึกทางศีลธรรมทั้งของคนซื้อและคนขายด้วย
เหตุดังนั้น
พระจึงควรยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอย่างยิ่ง แต่ยุ่งเกี่ยวเพื่อนำเอาธรรมะเข้าไปสู่การเมือง
เช่นเดียวกับพระควรยุ่งเกี่ยวกับการทำธุรกิจ, การสื่อสาร, การบริโภค,
การพลังงาน, การศึกษา, ศิลปวัฒนธรรม, กามารมณ์ หรือความสัมพันธ์ทางสังคมทุกชนิด
ฯลฯ
เพราะทั้งหมดเหล่านั้นล้วนมีมิติทางศีลธรรมที่เราควรพิจารณาทั้งสิ้น
ความเสื่อมโทรมของสิ่งเหล่านั้นในเมืองไทยนั้นส่วนหนึ่งก็มาจากการที่เราตัดมิติทางศีลธรรมออกไปโดยสิ้นเชิง
และพระไม่ค่อยยอมเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นเอาเลย
เทศนาของท่านจึงลอยอยู่ในสุญญากาศ
ฟัง "เอาบุญ" โดยไม่สามารถเอาไปใช้เพื่อให้เกิดบุญที่แท้จริงขึ้นได้
ตรงกันข้ามกับคำปรามของคุณทักษิณ
ผมคิดว่าพระควรยุ่งเกี่ยวให้มากกับการเมืองและเรื่องอื่นๆ ในเชิงสังคม
แต่ต้องมีสติกำกับว่ายุ่งทำไม แล้วจึงจะรู้ว่าควรยุ่งอย่างไร..
******************
|