วิธีลดความอ้วนแบบพุทธ

               ปัจจุบันนี้ วงการแพทย์ถือว่าความอ้วนเป็นโรคชนิดหนึ่งซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพและจะก่อเกิดโรคอันตรายอื่น ๆ ตามมา อาทิ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ฯลฯ ในพระไตรปิฎกท่านก็กล่าวไว้เช่นเดียวกันว่าร่างกายอ้วนเกินไปเป็นสิ่งไม่ดี เพราะทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัดอุ้ยอ้าย อายุสั้น สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคอ้วนตามหลักพุทธศาสนาท่านว่า เกิดจากความไม่รู้จักประมาณในการบริโภค
          
     ดังนั้นจึงขอเสนอเทคนิคการควบคุมอาหารแบบพุทธอันอาจจะช่วยให้ ท่านลดความอ้วนอย่างได้ผลดียิ่งขึ้น

               ๑. พิจารณาถึงผลดีของการควบคุมอาหาร ในสมัยพุทธกาล ยังมีพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งชื่อพระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าแผ่นดินองค์นี้ทรงมีพระวรกายที่อ้วนมาก เพราะทรงเสวยพระกระยาหารจุเกินไป ความอ้วนทำให้พระองค์ไปไหนมาไหนไม่ค่อยจะสะดวก วันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงสังเกตเห็นความอุ้ยอ้ายอึดอัดในพระวรกายของพระเจ้าปเสนทิโกศล จึงทรงตรัสพระคาถาว่า "บุคคลผู้มีสติอยู่เสมอ รู้ประมาณในอาหารที่ได้มา จะมีเวทนาเบาบาง แก่ช้า มีอายุยืนนาน" (สุตตันต.เล่ม ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ข้อ ๓๖๕ หน้า ๑๑๖ )
          
     พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงให้พระราชนัดดา (หลาน) ของพระองค์คอยว่าคาถานี้ทุกครั้งที่พระองค์กำลังจะเสวยพระกระยาหาร ปรากฏว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลสามารถลดความอ้วนได้สำเร็จเพราะคาถานี้เอง
          
     คุณสามารถที่จะใช้วิธีแบบพระเจ้าปเสนทิโกศลนี้ได้เช่นเดียวกัน โดยคุณอาจจะเขียนข้อความพรรณนาถึงผลดีของการบริโภคแต่พอดี ว่ามีผลดีต่อสุขภาพร่างกายเพียงไร (ให้เขียนเอาเองนะครับ) จากนั้น เวลาจะรับประทานอาหารคราวใด ก็ให้หยิบกระดาษโน้ตนี้ขึ้นมาอ่านไปพลางรับประทานอาหารไปพลาง
วิธีการนี้ จะทำให้คุณมีสติยั้งคิดในการรับประทานอาหารตลอดเวลา ทำให้สามารถควบคุมการบริโภคได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

               ๒ . เห็นความทุกข์ยากของเพื่อนร่วมโลก วิธีคิดแบบนี้นอกจากจะฝึกลดความต้องการบริโภคแล้ว ยังเป็นการ ฝึกจิตใจของตนเองให้เกิดความเมตตากรุณาอีกด้วยครับ วิธีคิดนี้ได้มาจากพระไตรปิฎก มีพระสูตรหนึ่งที่สอนให้เราไม่ควรบริโภคอาหารด้วยความสนุกสนานเมามัน แต่ควรบริโภคด้วยความรู้สึกเห็นคุณค่าของอาหารที่ช่วยให้เรามีชีวิตรอดต่อไป เพื่อพัฒนาตนให้พ้นจากสังสารวัฏอันยาวใกล โดยให้คำนึงถึงความทุกข์ยากของสรรพสัตว์ที่ต้องยอมเสียสละชีวิตเพื่อให้เราอยู่รอด อุปมาพ่อแม่จำใจต้องรับประทานเนื้อบุตรของตนเองกลางทะเลทรายเพื่อเอาชีวิตรอดเดินทางต่อไป ( สุตตันต.เล่ม๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ข้อ ๒๔๐ หน้า ๑๐๘)
          
     จากหลักการที่กล่าวมาข้างต้น เราสามารถที่จะนำมาประยุกต์เป็นวิธีคิดลดความต้องการบริโภคของเรา แบบง่าย ๆ คือเมื่อใดก็ตามที่เราเห็นโฆษณาหรือภาพของอาหารน่ากินต่าง ๆ ที่มีอยู่ในท้องตลาด ให้คุณมีสติตื่นตัวอยู่เสมอ ไม่ปล่อยให้ภาพของสิ่งของที่น่ากินต่าง ๆ เหล่านี้มากระตุ้นจิตใจของคุณให้เกิดความต้องการบริโภค พร้อมกันนั้นให้ใช้พลังจินตนาการของคุณสร้างความคิด "เชื่อมโยง" มองให้เห็นภาพความทุกข์ยากของสรรพสัตว์ที่อยู่เบื้องหลังภาพอาหารอันน่าเอร็ดอร่อยต่าง ๆ นี้เป็นการภาวนาตามหลักพุทธศาสนา คือสร้างความเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย และด้วยคุณธรรมที่เกิดขึ้นนี้เอง จะบรรเทาความรู้สึกต้องการบริโภคให้น้อยลงไป แต่อย่าลืมว่าคุณต้องมีสติตั้งมั่นอยู่เสมอ เพราะระบบบริโภคนิยมที่อยู่รอบ ๆ ตัวคุณนั้น พร้อมที่จะปรุงแต่งจิตใจของคุณให้ต้อง การบริโภคอยู่ตลอดเวลา
          
     ยกตัวอย่างนะครับ
          
     เห็นร้านไก่ทอดชื่อดัง อึม..ม ชักหิวแล้วสิเรา
          
     คิดในใจ เห็นภาพไก่น้อยน่าสงสารถูกขังอยู่ในกรง ถูกป้อนสารเคมี แถมกลางคืนก็ไม่ให้ได้หลับนอน ด้วยการเปิดไฟสว่างไว้ทั้งวันทั้งคืน เพื่อเร่งให้โตเร็ว ๆ โถ..น่าสงสารจริง ๆ เจ้าไก่น้อย

               เห็นใส้กรอกน่าอร่อย หู..ว ใส้กรอกทอดหอมกรุ่นบนเตา
คิดในใจ เห็นภาพเจ้าหมูนอนคุดคู้อยู่ในกรงเหล็กอันร้อนระอุ เจ้าคงจะไม่รู้สินะว่าเขาจะพาเจ้าไปฆ่าเพื่อนำไป เป็นอาหารของมนุษย์

               เห็นช็อคโกแล็ตน่ากิน หีบห่อน่ารัก คิกขุ น่าขบเคี้ยว
          
     คิดในใจ เห็นคนในชนบทต้องลำบากตากแดดตัดอ้อยเพื่อมาทำน้ำตาลใส่ช็อคโกแล็ต ชาวชนบทเหล่านี้นอกจากจะถูกกดขี่ค่าแรงแล้ว บางทีก็ถูกมอมเมายาเสพติดอีกด้วย โถ..น่าสงสารจริงๆ                ถัดจากนั้นก็ให้นึกเห็นโคนมที่ถูกรีดนมจนเจ็บระบมเพื่อเอานมไปเป็นส่วนผสมกับโกโก้เพื่อผลิตเป็นช็อคโกแล็ต ฯลฯ

               ไม่ยากเลยใช่ใหมครับ เพียงแต่เราจะต้องมีสติคิดให้ทันกับสิ่งที่มากระทบสายตา ซึ่งสามารถพบเห็นได้อยู่ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาในโทรทัศน์ อาหารน่ากินต่าง ๆ ในซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารต่าง ๆ ฯลฯ                การปรุงแต่งความคิดเพื่อให้เกิดความเมตตากรุณานี้ จะเป็นคุณค่าทางอารมณ์ใหม่ ที่มาทดแทนความรู้สึกต้องการบริโภคที่คุณถูกกระตุ้นอยู่ตลอดเวลาจากสิ่งรอบ ๆ ตัว วิธีคิดเช่นนี้จะช่วยให้ความต้องการบริโภคของคุณลดลงไปเองโดยธรรมชาติ แน่นอนครับ เมื่อความต้องการบริโภคลดลง ความอ้วนก็ย่อมลดลงตามไปด้วยเช่นเดียวกัน

               ๓. ฝึกจิตคิดเห็นสิ่งที่เป็นปฏิกูลในขณะบริโภคอาหาร ตามปรกติปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป เมื่อรับประทานอาหารที่มีรสชาติอร่อย จิตใจของเขาก็จะรู้สึกปลาบปลื้มยินดีกับรสชาติของอาหารนั้น ทำให้รู้สึกอยากจะรับประทานเรื่อยๆ ไปจนกว่าจะแน่นท้องรับประทานไม่ไหว หรือ คิดติดใจว่านี้คืออาหารโปรดของเรา ที่จะต้องกลับมารับประทานบ่อย ๆ อะไรทำนองนั้น นี่คือความคิดปรุงแต่งที่เป็นไปเองตามธรรมชาติของปุถุชนที่ไม่ได้รับการศึกษา
          
     วิธีการต่อไปนี้จึงเป็นท่าไม้ตายในการทำลายความยึดติดในรสชาติของอาหาร นั่นคือ ฝึกจิตคิดเห็นสิ่งที่เป็นปฏิกูลในขณะบริโภคอาหาร ด้วยการนึกเห็นสภาพของอาหารว่าเป็นปฏิกูลในขณะที่เราขบเคี้ยวอาหารอยู่ในปาก เช่น อาจจะนึกจินตนาการให้เห็นภาพอาหารที่เราขบเคี้ยวอยู่นี้อยู่ในใจว่ามีสภาพเป็น อาจม หรือ อาเจียน หรือนึกให้เห็นอาหารนั้นอยู่ในสภาพที่เน่าบูดมีแมลงวันตอมก็ได้ ฯลฯ คือ จะนึกปรุงแต่งอย่างไรก็ได้ ขอเพียงให้เห็นภาพความเป็นปฏิกูลของอาหารในขณะที่เราขบเคี้ยวอาหารอยู่เป็นใช้ได้ เป็นวิธีคิดที่มีชื่อเรียกเป็นภาษาพระว่า "อาหาเรปฏิกูลสัญญา" เป็นเทคนิคการคิดที่ทำให้จิตใจของเราคลายจากความยึดติดในรสชาติของอาหาร ถอยกลับคืนสู่ความเป็นปรกติ ทำให้เกิดการบริโภคอย่างพอดี ไม่บริโภคมากจนเกินไป และ สามารถควบคุมจิตใจของตนเองไม่ให้ไปเกี่ยวข้องกับอาหารโปรดแต่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยไม่มีความจำเป็นต้องไปพึ่งอาศัยยาแต่อย่างใด
          
     อ้อ.! คุณไม่ต้องกลัวว่าการนีกเช่นนั้นจะทำให้คุณผะอืดผะอม กระอักกระอ่วน หรือ รับประทานอาหารไม่ลงนะครับ เพราะนี้เป็นเพียงแค่การนึกภาพในใจไม่ใช่การเห็นของจริงแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม หากคุณพิจารณาความเป็นปฏิกูลของอาหารตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง คุณจะได้สัมผัสความรู้สึกสงบสันติสุขในขณะรับประทานอาหาร เป็นความสุขทางใจที่คุณอาจจะไม่เคยได้พบมาก่อนในชีวิต นี้เป็นเทคนิคกระทำในใจอันแยบคาย(โยนิโสมนสิการ) ในทางพุทธศาสนาที่จะทำให้จิตใจของท่านหลุดพ้นจากอำนาจราคะที่เกิดจากรสชาติอาหารนั่นเอง
          
     อนึ่ง อันที่จริงแล้วการควบคุมอาหาร หรือ การลดความอ้วน นี้เป็นเพียงแค่ผลพลอยได้ของคิดแบบ "อาหาเรปฎิกูลสัญญา" เท่านั้นเอง แต่ผลตอบแทนอันคุ้มค่าสำหรับการฝึกคิดเช่นนี้ ท่านว่ามีอานิสงส์มากทีเดียว คือ สามารถทำให้เราหลุดพ้นจากกิเลสหยาบ ๆ ได้ ทำให้เรามีสุขภาพจิตผ่องใส มีสติปัญญาสว่างไสว อันเป็นบาทฐานไปสู่การหยั่งลงสู่อมตะ (ความไม่ตาย หลุดพ้น หมดทุกข์สิ้นเชิง) เฉกเช่นเดียวกับพระพุทธองค์เลยทีเดียว ดังจะขอยกพระสูตรมาอ้างดังต่อไปนี้

               ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาหาเรปฏิกูลสัญญาอันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยอะไร
          
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีใจอันอบรมแล้วด้วยอาหาเรปฏิกูลสัญญาอยู่โดยมาก จิตย่อมหวลกลับ งอกลับ ถอยกลับจากตัณหาในรส ไม่ยื่นไปรับตัณหาในรส อุเบกขาหรือความเป็นของปฏิกูลย่อมตั้งอยู่
เปรียบเหมือนขนไก่หรือเส้นเอ็นที่เขาใส่ลงในไฟ ย่อมหดงอเข้าหากันไม่คลี่ออก ฉะนั้น....


***********************

ขอบพระคุณ.- บ้านพระดอทคอม ที่เอื้อเฟื้อข้อมูล

วัดท่าไทร
สำนักงานเจ้าคณะภาค ๑๖
สำนักงานเจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ศูนย์พัฒนาคุณธรรมภาคใต้(สุราษฎร์ธานี)
สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ศูนย์ประสานงานสมาคมป้องกันภัยจังหวัดสุราษฎร์ธานี