วันออกพรรษา
ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ชาวพุทธไทยจะนิยมฟังเทศน์มหาชาติ ซึ่งพุทธศาสนิกชนทุกคนต่างมีความเชื่อว่า
ใครได้ฟังเทศน์มหาชาติครบ 13 กัณฑ์ 1,000 คาถา จบในวันเดียวจะได้รับอานิสงส์อันยิ่งใหญ่
ถึง 5 ประการ คือ 1.จะได้เกิดมาในศาสนาพระศรีอารยเมตไตรย์ ซึ่งจะมาอุบัติเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปในอนาคต
2.จะได้ไปสู่สวรรค์ เสวยทิพยสมบัติอันโอฬาร 3.จะไม่เกิดในอบายเมื่อตายแล้ว
4.จะเป็นผู้มั่งมีลาภยศ สรรเสริญ ไมตรี และมีความสุข และ 5.จะได้รับมรรคผลนิพพาน
เป็นพระอริยบุคคลและถึงความพ้นทุกข์
การเทศน์มหาชาตินิยมทำกันมาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา
โดยจัดเป็นพระราชพิธีประจำปี คือ ระหว่างเดือน 11 เดือน 12 และเดือนอ้าย
ส่วนพิธีเทศน์ของราษฎรนิยมทำกันในวันออกพรรษา(เดือน 11) แต่ปัจจุบันนี้ขึ้นอยู่กับความสะดวกและมีได้ตลอดปีไม่ถือเป็นฤดูกาลเช่นแต่ก่อน
สำหรับเครื่องกัณฑ์เทศน์นั้น
จะประกอบด้วยส้มสุกลูกไม้ ขนมและกล้วยอ้อยเป็นพื้น และมีขันเรียกว่า
ขันประจำกัณฑ์ โดยเจ้าภาพเป็นผู้ติดเครื่องกัณฑ์เทศน์และผู้คนที่มาร่วมงานจะนำปัจจัยมาใส่ขัน
เมื่อถึงกัณฑ์เทศน์ของใครก็ไปประจำอยู่ในที่อันใกล้พอสมควรกับพระเทศน์
ส่วนสถานที่ที่จะเทศน์มักนำต้นกล้วย อ้อย และทางมะพร้าว มาประดับตกแต่ง
บางทีก็มีนกใส่กรง ปลาใส่อ่าง เพื่อจัดบรรยากาศให้คล้ายกับท้องเรื่องที่เกี่ยวกับป่าและมีราชวัตรฉัตรธงปัก
เพื่อเป็นการแสดงว่าเป็นเรื่องของพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้เจ้าของกัณฑ์มักจะเตรียมดอกไม้ธูปเทียนให้เท่ากับจำนวนคาถา
เช่น ทศพร 19 พระคาถา ดอกไม้ธูปเทียนก็อย่างละ 19 ดอก เมื่อจบกัณฑ์ปี่พาทย์จะประโคมเพลงประจำกัณฑ์รับ
สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดนอกจากพิธีกรรมแล้ว
คือ พระผู้เทศน์ จะต้องมีภูมิรู้และได้รับการฝึกฝนการเทศน์มาเป็นอย่างดี
เพราะการเทศน์มหาชาติไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่ใครๆก็จะทำได้ ซึ่งต้องได้รับการอบรมบ่มเพาะจากแหล่งวิชาการเทศน์
ที่มีหลักสูตรการเรียนการสอนที่ถูกต้องตามหลักวิชาการและประเพณี
แหล่งที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ผลิตพระนักเทศน์มากที่สุด
ก็คือ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ซึ่งป็นวัดที่มีการเปิดหลักสูตรวิชาการเทศน์
ขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2521 ถึงปัจจุบัน มีการอบรมไปแล้วกว่า 13 รุ่น ผลิตพระนักเทศน์ออกไปเผยแผ่หลักธรรมคำสั่งสอนแล้วถึง
3,632 รูป
พระเทพโสภณ
เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร กล่าวว่า การเผยแผ่หลักพระพุทธศาสนา
หรือการปลูกฝังอบรมให้พุทธศาสนิกชนเป็นคนดีมีศีลธรรมและประพฤติปฏิบัติชอบนั้น
ถือว่าเป็นหน้าที่โดยตรงของพระสงฆ์สาวกทุกรูป ซึ่งในปัจจุบันนี้ พระสงฆ์
ผู้ทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา และอบรมสั่งสอนพุทธศาสนิกชนในฐานะนักเทศน์
ที่มีวาทศิลป์ในการถ่ายทอดพุทธธรรมอย่างมีประสิทธิภาพนั้น มีค่อนข้างจำกัด
และไม่เพียงพอต่อความต้องการของสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
สำหรับตัวหลักสูตรวิชาการเทศน์มีตั้งแต่การให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการเทศน์
,หลักการและวิธีการเทศน์ ,จรรยานักเทศน์ ,การวิเคราะห์หลักธรรมพุทธศาสนสุภาษิต
,ปฏิภาณกับการเทศน์, ศิลปะการใช้อุปมาและสาธก, ภาษาไทย-ภาษาธรรม, เทศน์ได้-เทศน์เป็น,
ธรรมประยุกต์, วิธีการสร้างอารมณ์ขัน,สาธิตการเทศน์มหาชาติ และสาธิตการเทศน์ปุจฉา
2 ธรรมาสน์ ซึ่งหลักสูตรทั้งหมดใช้ระยะเวลาในการอบรม 52 ชั่วโมงทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ
พระเทพโสภณ กล่าว
นอกจากหลักสูตรต่างๆ
ยังมีการสอนเทคนิคในการเทศน์ อาทิ การวางตัวเวลาขึ้นแสดงธรรม การขึ้นธรรมาสน์
การให้ศีล รวมทั้งคำถวายพระพรเทศนาแด่พระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งพระนักเทศน์จะต้องเรียนรู้
ทั้งหมดที่กล่าวมาขั้นต้นเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น แต่การที่จะเป็นพระนักเทศน์ที่มีฝีไม้ลายมือดีนั้นจะต้องผ่านการสั่งสมประสบการณ์และได้รับการอบรมอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการและตามหลักพระพุทธศาสนาด้วย
ด้านคุณสมบัติของพระนักเทศน์จะประกอบด้วย
1.มีศาสตร์ คือ มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่จะเทศน์ 2.มีศิลป์
คือมีศิลปะในการแสดง 3. มีเสียง เพราะการเทศน์มหาชาติเป็นการ ใช้อารมณ์ผสมภาษา
ผู้เทศน์จึงต้องมีพรสวรรค์ คือ เสียงต้องดีตลอดกัณฑ์ และต้องเข้าใจทำนองรวมทั้งจับทำนองการเทศน์ได้อย่างเหมาะสมด้วย
ในปัจจุบันนี้การเทศน์มหาชาติแบ่งเป็น
3 ลักษณะ คือ 1.มหาชาติประยุกต์ ใช้คำศัพท์ที่ฟังง่าย สนุกสนาน 2.มหาชาติทรงเครื่อง
มีลักษณะเป็นการถามตอบปุจฉา-วิสัชนา และ 3.มหาชาติหางเครื่อง ซึ่งเป็นการเทศน์ที่มีการแสดงประกอบ
อย่างไรก็ตามการเทศน์มหาชาติ
นับวันยิ่งจะหาฟังได้ยาก เนื่องจากมีพระให้ความสนใจกันน้อย เนื่องจากเป็นการเทศน์ที่ยาก
และไม่มีหลักสูตรที่มีการเปิดสอนอย่างแพร่หลาย ดังนั้นสิ่งเหล่านี้คงหนีไม่พ้นที่ภาครัฐควรจะต้องหันมาให้ความสำคัญและให้การสนับสนุนการศึกษาของพระภิกษุ
สามเณร ให้เท่าเทียมกับระบบการศึกษาของประชาชนทั่วไป อย่ามองว่า การศึกษาของพระภิกษุสงฆ์สามเณร
เป็นเรื่องของพลเมืองชั้น 2 หรือปล่อยให้พระคุณเจ้าทั้งหลายจัดการศึกษากันไปตามมีตามเกิด
ไม่เช่นนั้นการสืบทอดพระพุทธศาสนาคงต้องเกิดอาการสะดุด และสิ่งดีๆ
อย่างการเทศน์มหาชาติอาจจะต้องสูญพันธ์ไปในที่สุดก็ได้
ที่มา : นสพ.เดลินิวส์
15 พ.ย.48
|