นับจากวันที่ครูพระตามโครงการ
ครูพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน จำนวน 4,000 รูป เคลื่อนพลเข้าสู่โรงเรียนเมื่อประมาณกลางปี
2548 ถึงวันนี้เวลาได้ล่วงเลยมากว่าครึ่งปี ครูพระทั้ง 4,000 รูปแรก
ได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ในการถ่ายทอด อบรม และปลูกฝังศีลธรรมแก่นักเรียนในโรงเรียนต่าง
ๆ ไปเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้จำนวนครูพระตามโครงการในรุ่นแรกจะยังไม่สามารถเข้าสู่โรงเรียนทั่วประเทศได้อย่างทั่วถึง
แต่ผลที่ออกมาก็เป็นที่น่าพอใจ เพราะครูพระส่วนใหญ่สามารถปฏิบัติภารกิจในการเยียวยาสังคมที่นับวันจะโน้มเอียงไปในทางที่เสื่อมถอยให้กลับมาได้
จากผลสำเร็จดังกล่าว
ประกอบกับเสียงเรียกร้องจากโรงเรียนจำนวนมาก ที่ต้องการให้มีครูพระเข้าไปสอนในโรงเรียนของตนเองบ้าง
รัฐบาลจึงได้อนุมัติงบประมาณกลาง ประจำปี 2549 เพื่ออุดหนุนการเพิ่มจำนวนครูพระให้แก่กระทรวงวัฒนธรรม
โดยกรมการศาสนา ซึ่งเป็นการขยายผลโครงการ ทำให้มีจำนวนครูพระเพิ่มขึ้นอีก
6,000 รูป รวมแล้ววันนี้มีครูพระในโครงการทั้งสิ้น 10,000 รูป ที่จะกระจายกำลังเข้าไปยังโรงเรียนต่าง
ๆ ได้มากขึ้น เพื่อพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม เด็ก เยาวชน นักเรียน นักศึกษาทั่วประเทศ
พระปลัดวุฒิชัย
กิตฺติเมธี วัดพระสิงห์ (พระอารามหลวง) ต.เวียง อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย
ซึ่งเป็นครูพระที่สอนในวิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงรายและวิทยาลัยการอาชีพเชียงราย
เล่าให้ฟังว่า จุดมุ่งหมายสำคัญที่สมัครเข้าโครงการ คือ ต้องการสอนให้เด็กคิดให้เป็น
ซึ่งวิธีการสอนก็มีทั้งการเลกเชอร์และการปฏิบัติ แต่ก่อนที่จะเริ่มการเรียนการสอนเราจะต้องรับข้อมูลจากเด็กก่อน
คือ พอเข้าวิทยาลัยก็จะต้องสังเกตว่าเด็กคนไหนนับถือศาสนาใด แล้วให้เด็กขึ้นมาพูดว่าศาสนาของตนเองเป็นอย่างไรเพื่อให้เด็กเปิดใจว่า
เราให้โอกาสแก่ทุกศาสนา โดยไม่ได้เลือกสอนแต่พระพุทธศาสนาอย่างเดียว
โดยจะสอนโดยเน้นเรื่องของการคิดวิเคราะห์ และนำสถานการณ์ปัจจุบันมาเป็นสื่อในการสอนให้เด็กคิดว่าจะเอาไปใช้ได้อย่างไรบ้าง
ถึงแม้เด็กจะมาจากหลายศาสนา
เวลาสอนเมื่อพูดถึงศาสนาพุทธก็จะยกตัวอย่างเรื่องของศาสนาอื่นขึ้นมาประกอบด้วย
เป็นการแสดงให้เห็นว่าพุทธศาสนากับศาสนาอื่นมีความคล้ายคลึงกัน คำสอนถึงแม้จะมีคำพูดที่แตกต่างกันแต่ก็มีเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์เดียวกัน
สามารถนำไปใช้ได้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ พระเจ้าสอนอย่างนี้ ท่านนบีมูฮัมหมัดสอนอย่างนี้
เป็นต้น เพราะฉะนั้นตัวพระอาจารย์เองก็ต้องเรียนรู้หลักศาสนาอื่นด้วย
เพราะจะต้องตอบคำถามของเด็กแต่ละศาสนา ดังนั้นพระอาจารย์ก็ต้องศึกษามาก่อน
และถึงแม้เราจะเป็นพระนับถือศาสนาพุทธก็ไม่ได้หมายความว่าจะพูดแต่เรื่องศาสนาพุทธเท่านั้น
เราต้องเปิดโอกาสให้คนที่นับถือทุกศาสนามีสิทธิที่จะคุยและแสดงความ
คิดเห็นด้วย พระปลัดวุฒิชัย อธิบาย
หากจะถามว่าเด็กเรียนกับครูพระแล้วมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงหรือไม่
พระปลัดวุฒิชัย บอกว่า ดีขึ้นมากถึงแม้ตอนแรกจะต่อต้านแต่ก็ไม่ถึงกับวอล์กเอาต์ออกนอกห้อง
บางเรื่องเขาก็ไม่สนใจ แต่ถ้าเราจี้จุดให้เขาคิดเขาก็จะหยุดแล้วหันกลับมาเรียน
โดยอาจจะยกตัวอย่างว่าในขณะที่พระอาจารย์ยังไม่มาเด็กบางคนพ้นสภาพการเป็นนักศึกษาไปแล้ว
ทั้งที่เป็นวัยที่ยังต้องเรียนหนังสือ ถามว่าเขาไปไหน แล้วถ้าเป็นเราจะทำอย่างไร
ซึ่งเขาก็จะคิด เพราะฉะนั้นพระอาจารย์จะย้ำเสมอว่าเราต้องเปิดโอกาสให้กว้าง
อย่าดูถูกตนเอง ต้องบอกตัวเองว่ายังพัฒนาได้ ทั้งนี้การทำให้เด็กเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทางที่ดีนั้น
บางคนอาจคิดว่าคงต้องใช้เวลานาน แต่จริง ๆ แล้วจากประสบการณ์ที่สอนมา
เวลา 1 เทอม 3 เดือนก็เห็นผลบ้างแล้ว โดยเด็กจะมีกิริยามารยาทที่อ่อนน้อมถ่อมตนมากขึ้น
เพราะอาตมาจะเน้นในเรื่องการสอนเด็กว่าไม่จำเป็นต้องเป็นคนเก่ง ขออย่างเดียวว่าขอให้เป็นคนดี
คิดดี ทำดี พูดดี แค่นี้พระอาจารย์ก็ถือว่าสำเร็จแล้ว
ทิตยา
ดวงสนิท นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนเม็งรายมหาราชวิทยาคม จ.เชียงราย
บอกว่า ได้เรียนกับครูพระแล้วรู้สึกสนุกไม่น่าเบื่อ ถึงแม้พระอาจารย์จะสอนเรื่องที่เป็นทฤษฎีแต่ก็มีเรื่องสนุก
ๆ มาเล่าให้ฟังตลอด และมีสื่อการสอนเยอะมาก ทั้งอินเทอร์เน็ต หนังสือพิมพ์
วิดีโอ บางครั้งก็มีเทปเสียงมาให้ฟังเพื่อฝึกการ ทำสมาธิ ซึ่งคงเป็นเทคนิคที่ทำให้ทุกคนในห้องสนใจเรียนมากขึ้น
และเมื่อเรียนแล้วไม่ใช่จะได้แต่ความสนุกสนานเท่านั้นยังทำให้มีสมาธิและความจำดีขึ้นด้วย
เพราะจะต้องทำรายงานด้วยการไปสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลต่าง
ๆ แล้วมาวิเคราะห์ตามสิ่งที่ได้เรียนจากพระอาจารย์ เพื่อส่งอาจารย์ประจำวิชาและนำไปขึ้นเว็บไซต์ของโรงเรียน
เพื่อให้นักเรียนในโรงเรียนได้เข้าไปอ่าน
ขณะที่
อาจารย์พรรณภา สมหวัง อาจารย์ประจำกลุ่มสาระการเรียนสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมของโรงเรียนเม็งรายมหาราชวิทยาคม
บอกว่า ครูพระจะมีจิตวิทยาในการสอนดีมาก และสามารถเบี่ยงเบนความสนใจของเด็กได้เก่ง
ขนาดสอนเป็นทฤษฎีเด็กยังเรียนได้อย่างสนุกสนานไม่รู้สึกเบื่อ ซึ่งทั้งทางโรงเรียนและผู้ปกครองนักเรียนส่วนใหญ่ก็รู้สึกดีกับโครงการนี้และอยากให้ทำเป็นโครงการต่อเนื่อง
เพราะเราเห็นการเปลี่ยนแปลงของเด็กได้ค่อนข้างชัด เด็กมีสัมมาคารวะต่อผู้ใหญ่
ครูบาอาจารย์มากขึ้น และมีสมาธิในการเรียนวิชาอื่น ๆ ด้วย
วันนี้เด็กไทยค่อนข้างห่างวัด
เข้าวัดน้อยลง นอกจากวันเทศกาล แต่นอกจาก นั้น เรามักจะไม่ค่อยเห็นเด็กเดินเข้าไปในวัด
โครงการนี้จึงเป็นโครงการที่ดีมาก เพราะเด็กไม่ต้องเข้าวัดก็ได้ แต่พระจะออกมาสอนให้ถึงในโรงเรียนเอง
ซึ่งเป็นการให้อาหารบำรุงสมองแก่เด็กอีกทางหนึ่ง.
ที่มา : นสพ.เดลินิวส์
13 ธ.ค.48
|