วันเพ็ญกลางเดือน
๖ ที่เราชาวพุทธนิยมนับถือว่าเป็นวันวิสาขบูชานั้น เป็นวันที่พระพุทธเจ้าได้ประสูติ
ตรัสรู้ และปรินิพพาน จึงต้องมีการปฏิบัติธรรมกันเป็นกาลพิเศษ
ดังนั้น
การหวนย้อนนึกระลึกถึงพระพุทธกิจที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญมาตลอดพระชนมชีพของพระองค์
เพื่อมุ่งหมายให้สรรพสัตว์ทั้งมวลหลุดพ้นจากห้วงเหวแห่ง ความทุกข์ในชีวิต
จึงเป็นกุศลจิตที่ควรแก่การปฏิบัติไม่น้อย อันจะทำให้เกิดกำลังใจ กำลังความคิด
ในการต่อสู้ กับปัญหาชีวิตที่ถาโถมจู่โจมเข้ามาทุกรูปแบบอย่างไม่สะทกสะท้าน
ด้วยไม่ยอมให้กิเลสมามีอำนาจครอบงำจิต ใจในการดำเนินชีวิต ส่งเสริมความดีให้เพิ่มพูนขึ้น
และลดละตัดตอนความไม่ดีให้ลดน้อยลงๆ จนนำไปสู่ความ หมดจดผ่องใส
พระพุทธเจ้าคือผู้ตรัสรู้ธรรมด้วยพระปรีชาญาณของพระองค์เอง
โดยไม่มีใครเป็นครูผู้สอน พระองค์เป็น ผู้ให้แสงสว่างแก่โลก เป็นผู้ข้ามพ้นแล้วจากการเวียนว่ายตายเกิด
เป็นผู้ประกาศสัจธรรมอันประเสริฐและเป็นผู้ให้กำเนิดพระพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าคือคนธรรมดา
ที่ถือกำเนิดมาอย่างมนุษย์ทั้งหลาย ในช่วงเวลาหลายพันปีจึงจะมีขึ้นได้
และมีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นเป็นผู้ชนะอย่างประเสริฐแห่ง โลกทั้งหลาย
ทรงสอนให้มนุษย์ได้รู้ถึงสัจธรรมอันประเสริฐ ฉุดมนุษย์ให้พ้นจากทุกข์
เมื่อเยาว์วัยพระองค์ได้ทรงรับการขนานนามว่าสิทธัตถกุมาร เป็นพระโอรสของ
พระเจ้าสุทโธทนะ และพระนางสิริมหามายา แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นชมพูทวีป
แม้ว่าพระองค์
จะทรงได้รับการเลี้ยงดูและทะนุถนอมให้ทรงพระเกษมสำราญอย่างที่บุคคลผู้เป็นกษัตริย์จะพึงได้รับ
โดยประการใดๆ และความหรูหราฟุ่มเฟือยด้วย สรรพสิ่งที่มนุษย์ทุกคนปรารถนาจะได้
รวมทั้งพระราชวังอันสวยงาม และพระชายาผู้สิริโฉม ก็ไม่อาจสามารถทำให้พระองค์ทรงยินดีได้ตลอดไป
เพราะในพระทัยของ พระองค์นั้นทรงสลดพระทัยเมื่อพบว่า ทุกคนต้องแก่
ต้องเจ็บไข้ทุกข์ทรมาน และตายไป และหนทางแห่งความ สงบที่จะพาไปสู่ความหลุดพ้นจากความแก่
ความเจ็บ ความตาย น่าจะมีอยู่
ความคิดในการที่จะค้นหาความหลุดพ้นจากความทุกข์
มีความแก่ ความเจ็บ และความตาย เป็นต้น เกิดขึ้นแรงกล้า เพิ่มพูนขึ้นทุกวันๆ
จนในที่สุดพระองค์ทรงตัดสินพระทัยหลีกหนีออกจากพระราชวังและพระชายาผู้เป็นที่รัก
ในราตรีอันสงบเงียบราตรีหนึ่ง และท่องเที่ยวไปศึกษาวิธีที่จะพ้นจากทุกข์สำนักแล้วสำนักเล่า
แต่ไม่มีสำนักของ คณาจารย์ผู้ใดเลยจะทำให้พระองค์เข้าถึงความดับทุกข์ได้
ในที่สุดพระองค์ก็เสด็จจากสำนักคณาจารย์ต่างๆ
และทรงบำเพ็ญเพียรด้วยพระองค์เอง ด้วยความเพียรอันยิ่งยวด โดยการทรมานตนให้ลำบากด้วยประการต่างๆ
ก็ไม่สามารถตรัสรู้ได้ จึงหันมาบริโภคอาหาร แล้วบำเพ็ญ เพียรทางใจ
ก็ได้ตรัสรู้ธรรมอันประเสริฐคือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค ในตอนรุ่งอรุณของวันเพ็ญเดือน
๖ ณ ใต้ต้นโพธิ์
หลังจากตรัสรู้แล้ว
พระองค์ได้ทรงเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยการแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์
ให้ได้ตรัสรู้ธรรมของพระองค์ และเมื่อมีพระสาวกเพิ่มมากขึ้น พระองค์ทรงส่งพระสาวกเหล่านั้นไปประกาศพระศาสนายังสถานที่ต่างๆของแคว้นชมพูทวีป
จนพระพุทธศาสนาตั้งมั่นคงได้ดีแล้ว พระองค์ได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน
ณ ใต้ต้นรัง แห่งเมืองกุสินาราในปีที่ ๔๕ นับแต่ปีอันได้ตรัสรู้ และในคืนที่จะปรินิพพานนั้น
ได้แสดง ธรรมโปรดสุภัททปริพาชก จนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ และเป็นพระสาวกองค์สุดท้ายของพระองค์
ธรรมที่พระองค์ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์มีเป็นอันมาก
ในที่นี้จะนำเสนอเท่าที่หน้ากระดาษจะอำนวยให้ ดังนี้
พุทธศาสนากับสังคม
:
พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในสังคมที่มีการแบ่งแยกชั้นวรรณะ
ด้วยการถือตัวถือตน ถือยศถือศักดิ์ ชาติ ตระกูล ตามลัทธิพราหมณ์ที่สั่งสอน
กันมา ทำให้สังคมเกิดการแตกแยกอันเกิดจากลัทธิดังกล่าว พระองค์ทรงปฏิเสธลัทธิการถือชั้นวรรณะโดยสิ้น
เชิง และประกาศความเสมอภาคของมนุษย์ และรับรองเสรีภาพของมนุษย์ว่า
กำเนิด ชาติตระกูล
ไม่ได้ทำให้บุคคลเป็นพราหมณ์ มิได้ทำให้บุคคลเป็นกษัตริย์ เป็นพ่อค้า
ความประพฤติของบุคคลเป็นเครื่องกำเนิดบุคคล ชาติตระกูลไม่ใช่เป็น เครื่องกำหนดความแตกต่างของบุคคล
พุทธศาสนากับสตรี
:
ในประเทศอินเดีย
ฐานะของสตรีเป็นฐานะแห่งทาสของบุรุษ สตรีไม่ได้รับความเสมอ ภาค และไม่ยอมรับความสามารถของสตรี
พระพุทธเจ้าทรงยกย่องความสามารถของสตรีให้บุรุษเห็นว่า
สตรีนั้นมีความสามารถไม่น้อยไปกว่าบุรุษเลย ทรงรับสตรีไว้ในพุทธมณฑล
ปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าสตรีไม่ สามารถบรรพชาอุปสมบทได้ และไม่สามารถบรรลุธรรม
พิเศษได้
นอกจากนั้นยังยกย่องสตรีผู้เป็นภรรยาว่าเป็นเพื่อน
ที่ดีของสามี อันสามีไม่พึงปฏิบัติต่อเธอเสมือนทาส และทรงยกย่องสตรีทุกคนให้อยู่ในฐานะของความเป็นแม่
อันบุรุษพึงให้ความเคารพรักเช่นเดียวกับแม่ของตน
พระพุทธศาสนากับหลักความเชื่อ
:
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในกาลามสูตรว่า ชาวกาลามะทั้งหลาย พวกท่าน ทั้งหลายอย่าเชื่อโดย
๑.ฟังตามกันมา
๒.โดยสืบต่อกันมา
๓.โดยตื่นข่าวลือ
๔.โดยอ้างตำรา
๕.โดยนึกเอาเอง
๖.โดยคาดคะเนเอาเอง
๗.โดยคิดเอาตามอาการที่เป็นไป
๘.โดยชอบใจว่าถูกต้องตามลัทธิของตน
๙.โดยเชื่อว่าผู้พูดควร เชื่อได้
๑๐.โดยนับถือว่าท่านเป็นอาจารย์ของเรา
สรุปก็คือ
ทรงสอนไม่ให้เชื่ออย่างงมงาย ความเชื่อที่ ถูกต้องนั้นต้องใช้ปัญญาเป็นเครื่องกำกับด้วย
ผู้นับถือพุทธศาสนาจึงชื่อว่ามีเสรีภาพในการใช้ความเชื่ออย่างเต็มที่
พุทธศาสนาไม่มีการบังคับให้เชื่อ และไม่นิยมการ ล่อลวงให้เกิดความเชื่อในสิ่งทั้งหลาย
พระพุทธศาสนากับหลักพึ่งตนเอง
:
หลักการพึ่งตน เอง คือ ปฏิเสธการพึ่งทั้งหลายอื่น หรือการอ้อนวอนสิ่งทั้งหลาย
ในมหาปรินิพพานสูตรและสูตรอื่นๆ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอจงมีตนเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย จงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด
อย่ามีสิ่ง อื่นเป็นที่พึ่งเลย
มีความในพุทธศาสนาอีกหลายตอนที่สอนว่า
มนุษย์ทั้งหลายไม่ควรวิงวอนต้นไม้ ภูเขา ดวงดาว และสิ่งใดๆ เพราะสิ่งเหล่านั้นจะช่วยอะไรไม่ได้
ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่ง ของตน คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
พระพุทธศาสนากับฤกษ์ยาม
:
พระพุทธศาสนาปฏิเสธเรื่องฤกษ์ยาม ไม่ยอมให้นับถืออย่างงมงาย ปฏิเสธเรื่องดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ด้วย
พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ใดถือฤกษ์ยามอยู่ ประโยชน์จะผ่านพ้นบุคคลผู้เขลานั้นไปเสีย
ประโยชน์นั้นเองเป็นตัวฤกษ์ของประโยชน์ ดวงดาวจะมาทำอะไรให้ได้
พระพุทธศาสนากับการล้างบาป
:
ลัทธิพราหมณ์นิยมว่า ผู้มีบาปต้องไปลอยบาปในแม่น้ำคงคา และแม่ น้ำศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ
แต่ในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรง ปฏิเสธการลอยบาปและล้างบาปไว้ในวัตถูปมสูตรว่า
คนพาลทำชั่ว แม้จะไปสู่แม่น้ำใด ก็ไม่บริสุทธิ์ได้ แม่น้ำจะช่วยอะไรได้เท่าบุคคลผู้ทำบาปหยาบช้า
การรักษาศีล การมีความประพฤติดี ย่อมทำให้บุคคลเป็น ผู้บริสุทธิ์ ดูกร
พราหมณ์ ท่านจงอาบตนด้วยธรรมวินัยนี้ ถ้าท่านไม่กล่าวเท็จ ไม่เบียดเบียนสัตว์
ไม่ขโมย มีความเชื่อตามเหตุผล ไม่ตระหนี่ ท่านก็ไม่ต้องไปสู่แม่น้ำแห่งใดเลย
พระพุทธศาสนากับหลักกรรม
:
พระพุทธศาสนาสอนเรื่องหลักกรรมไว้ว่า กรรมคือการกระทำ กระทำไว้อย่างไร
ย่อมเกิดผลแก่การกระทำนั้น เหมือนชาวนาหว่าน พืชไว้เช่นไร ย่อมได้รับผลแห่งการหว่านพืชนั้น
เช่นนั้น
ในวาเสฏฐสูตร
มีความตอนหนึ่งว่าบุคคลไม่ได้เป็น คนชั่ว ไม่ได้เป็นคนดี เพราะชาติ
หากเป็นเพราะการ กระทำ บุคคลเป็นชาวนา เป็นศิลปิน เป็นพ่อค้า เป็นคนรับใช้
เป็นโจร เป็นทหาร เป็นพระราชา ก็เพราะการกระทำ โลกเป็นไปเพราะกรรม
สัตว์ทั้งหลายผูกพันอยู่กับกรรม เหมือนสลักลิ่มเป็นเครื่องยึดรถที่แล่นไม่ได้ฉันนั้น
ยังมีหลักธรรมที่น่าศึกษาสำหรับสังคมอีกมาก
แต่หน้า กระดาษจำกัด จึงขอยุติไว้ด้วยปัจฉิมโอวาทที่ประทานแก่พุทธบริษัทในวาระสุดท้ายแห่งพระชนมชีพ
ปรากฏในมหาปรินิพพานสูตรว่า
บัดนี้ เราขอเตือนท่านทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
ท่านทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด
ที่มา :ผู้จัดการออนไลน์ 6 พฤษภาคม 2548 18:31 น.
วัดท่าไทร
สำนักงานเจ้าคณะภาค ๑๖
สำนักงานเจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ศูนย์พัฒนาคุณธรรมภาคใต้(สุราษฎร์ธานี)
สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ศูนย์ประสานงานสมาคมป้องกันภัยจังหวัดสุราษฎร์ธานี
|