โดย...ไพรัช
มิ่งขวัญ
ศูนย์ข่าวอิศรา สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
ภายหลังคณะสงฆ์จังหวัดปัตตานีได้ออกแถลงการณ์
20 ข้อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยหนึ่งในข้อเรียกร้องดังกล่าวมีการเสนอให้ยุติบทบาทการทำงานของ
คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ หรือ (กอส.) รวมอยู่ด้วย
เนื่องจากเห็นว่า ไม่มีความเป็นกลางโดยมักเข้าข้างและเห็นใจกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ
หลังแถลงการณ์อันเป็นที่มาของกระแสความสนใจต่อปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
โดยเฉพาะผลกระทบต่อพระสงฆ์องค์เจ้าและชาวไทยพุทธที่สำคัญเป็นแรงขับขับเคลื่อนให้คณะสงฆ์จังหวัดนราธิวาส
มีมติยอมรับพร้อมทั้งได้ประสานไปยังคณะสงฆ์จังหวัดยะลาเพื่อร่วมกันรับรองว่าแถลงการณ์ของคณะสงฆ์จังหวัดปัตตานีถือเป็นแถลงการณ์ร่วมกันของคณะสงฆ์3
จังหวัดชายแดนภาคใต้
ปรากฏการณ์ดังกล่าวนับเป็นบทสะท้อนความรู้สึกพระสงฆ์
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อบทบาทการแก้ปัญหาความไม่สงบของรัฐบาล ในฐานะศิษย์ตถาคตผู้เฝ้าดูการแก้ปัญหาความรุนแรงด้วยความนิ่งเงียบมานาน
เป็นเสียงสะท้อนที่ทุกฝ่ายไม่อาจดูดาย ...
...เกิดปัญหาขึ้นแต่ละครั้งจะสอบถามคนไทยพุทธไม่ค่อยจะมี
ถามแต่คนมุสลิม หากคนไทยพุทธเกิดปัญหาจะไม่มีอะไรมากนัก เสนอข่าวแล้วก็เงียบไป
แต่พอเกิดกรณีกรือเซะ ตากใบ ทำไมยกปัญหาขึ้นมาดีเด่นซึ่งตรงนี้มันก็ดี
แต่ยกเป็นเรื่องสำคัญมากเกินไป
อาตมาไม่ได้ว่าลำเอียง
เวลาประชุมแต่ละครั้งพยายามบอกพระว่าให้ช่วยรักษาสันติ อยากบอกว่าแม้เหตุการณ์มันจะไม่สันติ
แต่พระอยู่อย่างสันติอยู่แล้วไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร
เป็นเสียงเอ่ยที่ราบเรียบของ
พระมหาภูษิต ฐิตสิริ พระนักเทศชื่อดังและครูสอนนักธรรมแห่ง วัดพระศรีมหาโพธิ์
ตำบลโคกโพธิ์ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี แสดงความเห็นถึงการแก้ปัญหาความรุนแรงในพื้นที่
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของ กอส.ช่วงที่ผ่านมา
ในฐานะศิษย์ตถาคตผู้อยู่ในร่มกาสาวพัตร์มากว่า
20 พรรษา พระนักเทศน์ชื่อดังรายนี้ได้รับฟังเสียงแห่งความอัดอั้นจากชาวบ้านในพื้นที่ไม่เว้นแต่ละวัน
พระมหาภูษิตรู้ดีว่าในฐานะพระสงฆ์สามารถทำได้เพียงรับฟังปัญหาด้วยปัญญาและใช้หลักธรรมเข้าเยียวยาผู้ที่กำลังตกอยู่ในกองทุกข์
ที่ผ่านมามีชาวบ้านมาบ่นว่าทีคนไทยพุทธโดนทำร้ายทำไมไม่ให้ความสำคัญ
บางคนบ่นว่าเขาไปสมานฉันท์แต่ฝ่ายอื่น ส่วนตัวอาตมาไม่ได้คิดอะไรมาก
การแก้ปัญหาที่ผ่านมาเป็นระบบที่เอื้อต่อการเมือง แม้ไม่มีใครมาให้ความสนใจแต่เชื่อว่าในหมู่ชาวไทยพุทธจะดูแลไม่ทอดทิ้งกัน
พยายามบอกว่าอย่าประมาท
ทุกวันนี้ชาวบ้านมาปรับทุกข์บอกว่าไม่รู้จะอยู่ได้อย่างไร ออกไปทำงาน
ออกไปเรียนจะเจอเหตุร้ายหรือไม่ พระทำหน้าที่ได้เพียงอย่างเดียวคืออยู่เป็นกำลังใจให้ชาวบ้าน
สอนเขาว่าอย่าเครียดจนเบียดเบียนความสุข ทุกข์จนหมดปัญญา อย่ากลัวตาย
เพราะคนเราตายครั้งเดียว พระมหาภูษิต แสดงความเห็น
ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่นอกจากชาวบ้านจะต้องหวาดระแวงภัยร้ายแล้ว
แม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้าเองก็ยังต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์เพื่อรักษาตัวรอดเช่นกัน
เกิดเหตุไม่สงบขึ้นพระก็ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการบิณฑบาตจากปกติออกตอนเช้ามืดก็เลื่อนเวลามาเป็นรุ่งสางยามที่มีแสงอาทิตย์
ชาวบ้านจะได้ไม่ต้องสี่ยงออกมาทำบุญตอนเช้ามืด พระวัดนี้มีทั้งหมด
10 รูป ออกบิณฑบาตองค์เดียว ไม่มีทหารคุ้มกัน ไม่มีเด็กวัด ก็ต้องดูหน้าดูหลัง
เหมือนกัน คนเราทุกคนเกิดมาต้องตายถึงเวลาเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น
สำหรับแนวทางแก้ปัญหาในพื้นที่
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ผ่านมาหลายฝ่ายมีมุมมองของตนเองซึ่งล้วนแต่มีเจตนาอยากให้เกิดความสงบเรียบร้อยขึ้นในพื้นที่
แต่ในมุมมองของ พระนักเทศน์ ชื่อดังแห่งตำบลโคกโพธิ์รูปนี้ ต้องการให้ภาครัฐทำให้ประชาชนทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน
อย่าเลือกปฏิบัติ อีกทั้งเวลาประชุมเพื่อระดมความเห็นในการแก้ปัญหา
ต้องรับฟัง ความเห็นจากผู้ที่คลุกคลีอยู่ในพื้นที่จริงๆ
ที่ผ่านมาการประชุมแต่ละครั้งพระสงฆ์ได้แสดงความเห็นน้อยมาก
มักไม่ได้รับโอกาส เวลาจะคิดหรือจะพูดอะไรเพื่อช่วยแก้ปัญหามักได้รับคำตอบกลับมาว่า
มันไม่ใช่กิจของสงฆ์ แค่นี้ก็พูดไม่ออกแล้วพระมหาภูษิต กล่าวด้วยน้ำเสียงสำรวม
พระมหาภูษิต ได้ฝากข้อคิดถึงสังคมไว้ว่าท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรงที่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบพยายามสร้างความแตกแยกระหว่างศาสนาขึ้นนั้นขอให้ใช้สติในการคิดในสังคมมีทั้งคนดีคนไม่ดีคละเคล้ากันไปต้องรู้จักแยกแยะ
อย่าไปเหมารวม
ต้องมีสติ รู้เท่าทัน
ตอนนี้มีพวกเพี้ยนบางคนนำศาสนามาหาอำนาจให้ตนเอง ทำให้เกิดปัญหาขึ้นทั่วไป
แนวทางสันติหากใช้ถูกจุดไม่เอียงเอนไปข้างใดข้างหนึ่งจะสามารถแก้ปัญหาได้
แต่ถึงอย่างไรต้องขอขอบคุณทั้งคนไทยพุทธและไทยมุสลิมทั่วประเทศที่ยังเป็นห่วงพี่น้องใน
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คอยช่วยเหลือกันอยู่ พระมหาภูษิต กล่าวปิดท้าย
ขณะที่ พระชัยยุทธ โชติวังโส
พระนิสิตปี 3 มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ปฏิบัติหน้าที่เลขาพระราชมงคลญาณ
เจ้าอาวาสวัดบูรพาราม ตำบลยามู อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี แสดงความเห็นว่าเหตุที่คณะสงฆ์จังหวัดปัตตานี
เสนอให้มีการยุบ กอส.นั้นไม่ได้มีเจตนาสร้างความแตกแยกในสังคม แต่เป็นแนวในการแก้ปัญหาทางหนึ่ง
ส่วนข้อเสนอจะนำไปสู่ขั้นตอนการดำเนินการอย่างไรหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาล
หรือผู้มีอำนาจตัดสินใจ
ขอเสนอ คือ ความเห็นโดยรวมของคณะสงฆ์ทั้งจังหวัดปัตตานี
ประชาชนในพื้นที่ต่างรู้สึกว่าตนเป็นพลเมืองชั้นสอง ถูกกดขี่จากกลุ่มมุสลิมโดยรอบ
ขณะที่ชาวมุสลิมก็อ้างว่าถูกกดขี่จากองค์กรรัฐ ความสมานฉันท์อยู่ตรงไหน
หากไปสมานฉันท์กับกลุ่มโจรแล้วความสมานฉันท์จะเกิดขึ้นโดยแท้จริงได้อย่างไร
ทางพระไม่ได้เรียกร้องสิทธิมากมายแต่อยากให้นึกถึงหัวอกชาวไทยพุทธที่โดนกระทำ
อยากให้ความช่วยเหลือชาวบ้านอย่างเท่าเทียม พระชัยยุทธ ชี้แจง
วัดบูรพาราม ไม่ต่างจากวัดอื่นๆในพื้นที่
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากจะเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจพุทธศาสนิกชนในพื้นที่แล้ว
พระสงฆ์ภายในวัดยังต้องทำหน้าที่ดับไฟที่สุมอกญาติโยมอันเนื่องมาจากสถานการณ์ความไม่สงบ
อีกทั้งที่ผ่านมามีชาวบ้านอพยพครอบครัวออกจากหมู่บ้านไปแล้วหลายราย
ชาวบ้านมาทำบุญบ่นให้ฟังตลอดว่ากลัว
อยากให้ความสงบสุขกลับคืนมาสู่หมู่บ้านโดยเร็ว ในฐานะพระได้แต่เยียวยาทางจิตใจ
แต่ไม่สามารถคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตให้เขาได้
พระชัยยุทธ ชี้แจงว่าไม่เพียงแต่ชาวบ้านเท่านั้นที่หวั่นเกรงเหตุร้าย
ช่วงที่ผ่านมามีพระย้ายออกไปจำพรรษานอกพื้นที่หลายรูป ขณะที่วัดบูรพารามมีพระจำวัดอยู่ทั้งสิ้นเพียง
6 รูป ขณะที่บางวัดมีพระอยู่ไม่ถึง 5 รูป รวมพระใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีไม่ถึง
300 รูป ทำให้ไม่สามารถประกอบกิจกรรมทางพุทธศาสนาได้
วันนี้อยากบอกว่าพระไม่ได้ยุ่งกับการเมืองแต่พระต้องยุ่งกับบ้านเมือง
ถ้าพระในพื้นที่ 3 จังหวัดได้พูดได้อธิบายเรื่องราวจะไม่ลุกลามมากถึงขนาดนี้
เราเงียบมาตลอด ดูมาตลอด เมื่อฝ่ายอื่นๆแก้ปัญหาไม่ได้เราก็ทำหน้าที่เสนอสิ่งที่เราเห็น
สิ่งที่เราคิด หากฝ่ายที่เกี่ยวข้องอยากแก้ปัญหาจริงๆขอให้ลงมาในพื้นที่มาฟังข้อมูลจากทุกฝ่ายอย่างรอบด้านและเท่าเทียมกัน
อย่ามาเพียงแต่สร้างภาพพระชัยยุทธ กล่าวสรุป
ด้าน พระครูสังฆรักษ์
สมใจ พระเลขาพระราชคุณาธาร เจ้าคณะจังหวัดนราธิวาส วัดประชุมชลธารา
ตำบลสุไหงปาดี อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส บอกว่าที่ผ่านมา กอส.ไม่ได้ให้น้ำหนักในการเยียวยาชาวพุทธที่ได้รับความเดือนร้อนเท่าที่ควรจึงเกิดคำถามในหมู่ชาวไทยพุทธว่า
กอส.ทำหน้าที่เพื่อใคร ที่ผ่านมาไม่ได้มีการเอาตัวแทนของพระใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างแท้จริง
แต่กลับเอาตัวแทนซึ่งเป็นคนที่ไม่เคยรู้ปัญหาเข้าไปแก้ปัญหาแล้วจะแก้ได้อย่างไร
ส่วนแถลงการณ์ที่ออกในนามคณะสงฆ์ก็เพียงแต่อยากแสดงความรู้สึกของพระสงฆ์ในพื้นที่เท่านั้น
สำหรับปัญหาพระสงฆ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มักคล้ายคลึงกันคือมีพระอยู่น้อย
ญาติโยมหวาดกลัวต้องอาศัยวัดเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
ปัจจุบันญาติโยมต้องปรับตัว
ในการมาวัดแต่ละทีต้องระวังตัวดูหน้า ดูหลัง เวลาเย็นๆต้องรีบเดินทางกลับบ้านเดี๋ยวจะไม่ปลอดภัย
ขณะพระต้องปรับรูปแบบการรับกิจนิมนต์ จากเมื่อก่อนอาศัยเหมารถชาวมุสลิมแต่ปัจจุบันต้องอาศัยรถญาติโยม
หรือรถของสำนักพระพุทธศาสนาเดินทางแทน
สำหรับปัญหาพระย้ายออกจากวัดใน
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น พระครูสังฆรักษ์อธิบายว่า พระที่ย้ายออกไปเป็นพระนอกพื้นที่
แต่พระในพื้นที่จะไม่ทิ้งถิ่นฐานหนีไปไหน แม้เหตุการณ์จะลุกลามรุนแรงเพียงใด
พระหลายรูปเกิดบนผืนดินแห่งนี้และจะอยู่ที่นี่
ไม่ว่าเหตุการณ์จะรุนแรงเพียงใดอยากให้ทุกฝ่ายใช้สติในการแก้ปัญหา
ญาติโยมทั้งหลายต้องใช้สติพิจารณาเหตุการณ์ อย่าตกเป็นเครื่องมือของใคร
ขอเป็นกำลังใจให้หลายฝ่ายช่วยกันแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงโดยเร็ว พระครูสังฆรักษ์
กล่าวปิดท้าย
...กว่า 2 ปีแล้วที่เหตุการณ์รุนแรงในพื้นที่ชายแดนภาคใต้เกิดขึ้นโดยที่ยังไม่เห็นวี่แวว
ว่าจะยุติลงเมื่อไหร่ เสียงสะท้อนข้างต้นนี้ สะท้อนนัยสำคัญอย่างหนึ่งนั่นคือ
ความรู้สึกระแวง และแปลกแยกระหว่างกลุ่มคนสองชาติพันธ์ที่เคยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขมาเป็นเวลานาน
ไม่เพียงคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติเท่านั้นที่จะต้องปรับบทบาทตัวเองอย่างหนักในการสร้างความสมานฉันท์ที่ให้เกิดขึ้นให้ได้
แต่ยังรวมถึงทุกส่วนทุกฝ่ายที่ต้องหาทางสกัดกั้นความคับแค้นเกลียดชังระหว่างทุกชนชั้นในชาติ
อุดมคติอันสูงส่งของทุกศาสนา
คือ ภาวะแห่งสันติสุข ความรัก ความเห็นใจในชะตากรรมร่วมกันหลักคำสอนของทุกศาสนา
มิใช่อุปสรรคแห่งการดำรงอยู่ร่วมกันของกลุ่มชนที่แตกต่าง
และสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องตั้งสติพิจารณากันให้รอบคอบก็
คือ อย่านำศาสนามาสร้างปัญหา !
ที่มา.-
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9480000148639
*******************
|