จำนำพรรษา - จิตตะ
จำนำพรรษา
ดู ผ้าจำนำพรรษา
จำเนียรกาล
เวลาช้านาน
จำปา ชื่อเมืองในมัธยมประเทศ
ที่ถูกเขียน จัมปา
จำพรรษา อยู่ประจำวัดสามเดือนในฤดูฝน
คือ ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ (อย่างนี้เรียกปุริม
พรรษา แปลว่า พรรษาต้น) หรือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำเดือน ๙ ถึงขึ้น ๑๕ เดือน ๑๒
(อย่างนี้เรียก ปัจฉิมพรรษา แปลว่า
พรรษาหลัง) ; วันเข้าพรรษาต้นคือ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ เรียกว่า ปุริมิกา
วัสสูปนายิกา, วันเข้าพรรษาหลังคือ แรม ๑ ค่ำ
เดือน ๙ เรียกว่าปัจฉิมิกา วัสสูปนายิกา; คำอธิษฐานพรรษาว่า อิมสฺมึ
วิหาเร อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ; ทุติยมฺปิ อิมสฺ
มึ....; ตติยมฺปี อิมสฺมึ....แปลว่า ข้าพเจ้าเข้าอยู่จำพรรษาตลอด ๓ เดือนในวัดนี้
(วิหาเร จะเปลี่ยนเป็น อาวาเส ก็ได้) ;
อานิสงส์การจำพรรษามี ๕ อย่าง คือ ๑. เที่ยวไปไม่ต้องบอกลา ๒. จาริกไปไม่ต้องเอาไตรจีวรไปครบสำรับ
๓.
ฉันคณโภชน์และปรัมปรโภชน์ได้ ๔. เก็บอดิเรกจีวรได้ตามปรารถนา ๕.จีวรอันเกิดขึ้นในที่นั้น
เป็นของได้แก่พวก
เธอ อานิสงส์ทั้งห้านี้ได้ชั่วเวลาเดือนหนึ่ง นับแต่ออกพรรษาแล้ว คือ ถึงขึ้น
๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ นอกจากนั้นยังได้สิทธิที่
จะกรานกฐิน และได้รับอานิสงส์ ๕ นั้น ต่อออกไปอีก ๔ เดือน (ภิกษุผู้เข้าพรรษาหลัง
ไม่ได้อานิสงส์หรือสิทธิพิเศษ
เหล่านี้)
จำวัด นอนหลับ
(สำหรับพระสงฆ์)
จำศีล อยู่รักษาศีล,
ถือศีลเป็นกิจวัตร
จำหลัก แกะให้เป็นลวดลาย,
สลัก
จิต ธรรมชาติที่รู้อารมณ์,
สภาพที่นึกคิด, ความคิด, ใจ; ตามหลักฝ่ายอภิธรรมจำแนกจิตเป็น ๘๙ (หรือพิสดารเป็น
๑๒๑) แบ่ง โดยชาติ เป็นอกุศลจิต ๑๒ กุศลจิต ๒๑ (พิสดารเป็น
๓๗) วิปากจิต ๓๖ (๕๒) และกิริยาจิต ๒๐; แบ่ง
โดยภูมิ เป็นกามาวจรจิต ๕๔ รูปาวจรจิต ๑๕ อรูปาวจรจิต ๑๒ และโลกุตรจิต
๘ (พิสดารเป็น ๔๐)
จิตกาธาน เชิงตะกอน,
ที่เผาศพ
จิตตะ เอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้นไม่วางธุระ,
ความคิดฝักใฝ่ไม่ปล่อยใจฟุ้งซ่านเลื่อนลอย (ข้อ ๓ ในอิทธิบาท ๔)