อาศรม - อาสวักขยญาณ
อาศรม ที่อยู่ของนักพรต;
ตามลัทธิของพราหมณ์ ในยุคที่กลายเป็นฮินดูแล้วได้วางระเบียบเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต
ของชาวฮินดูวรรณะสูง โดยเฉพาะวรรณะพราหมณ์ โดยแบ่งเป็นขั้นหรือช่วงระยะ ๔
ขั้น หรือ ๔ ช่วง เรียกว่า
อาศรม ๔ กำหนดว่าชาวฮินดูวรรณะพราหมณ์ทุกคนจะต้องครองชีวิตให้ครบทั้ง ๔ อาศรมตามลำดับ
(แต่ในทาง
ปฏิบัติน้อยคนนักได้ปฏิบัติเช่นนั้น โดยเฉพาะปัจจุบันไม่ได้ถือกันแล้ว) คือ
๑. พรหมจารี เป็นนักเรียนศึกษาพระเวท
ถือพรหมจรรย์ ๒. คฤหัสถ์ เป็นผู้ครองเรือน มีภรรยาและมีบุตร ๓.
วานปรัสถ์ ออกอยู่ป่าเมื่อเห็นบุตรของบุตร ๔. สัน-
ยาสี (เขียนเต็มเป็นสันนยาสี) เป็นผู้สละโลก มีผ้านุ่งผืนเดียว ถือภาชนะขออาหารและหม้อน้ำเป็นสมบัติ
จาริกภิกขา-
จารเรื่อยไปไม่ยุ่งเกี่ยวกับชาวโลก (ปราชญ์บางท่านว่าพราหมณ์ได้ความคิดจากพระพุทธศาสนาไปปรับปรุงจัดวาง
ระบบของตนขึ้น เช่น สันยาสี ตรงกับภิกษุ แต่หาเหมือนกันจริงไม่)
อาสนะ ที่นั่ง,
หรือที่สำหรับนั่ง
อาสภิวาจา วาจาแสดงความเป็นผู้องอาจ,
วาจาองอาจ คือคำประกาศพระองค์ว่าเป็นเอกในโลก ตามเรื่องว่าพระมหา
บุรุษเมื่อประสูติจากพระครรภ์ของพระมารดา ย่างพระบาทไป ๗ ก้าวแล้วหยุดยืนตรัสอาสภิวาจาว่า
อคฺโคหมสฺมิ
โลกสฺส ดังนี้เป็นต้น แปลว่า เราเป็นอัครบุคคลของโลก ฯลฯ
อาสวะ กิเลสที่หมักหมมหรือดองอยู่ในสันดาน
ไหลซึมซ่านไปย้อมจิตเมื่อประสบอารมณ์ต่าง ๆ มี ๓ อย่าง คือ
๑. กามาสวะ อาสวะคือกาม ๒. ภวาสวะ อาสวะคือภพ ๓. อวิชชาสวะ
อาสวะคืออวิชชา; อีกหมวดหนึ่งมี ๔ คือ
๑. กามาสวะ ๒. ภวาสวะ ๓. ทิฏฐาสวะ อาสวะคือทิฏฐิ ๔.
อวิชชาสวะ; ในทางพระวินัยและความหมายสามัญ
หมายถึงเมรัย เช่น ปุปฺผาสโว น้ำดองดอกไม้, ผลาสโว น้ำดองผลไม้
อาสวักขยญาณ ความรู้เป็นเหตุสิ้นอาสวะ,
ญาณหยั่งรู้ในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย, ความตรัสรู้ (เป็น
ความรู้ที่พระพุทธเจ้าได้ในยามสุดท้ายแห่งราตรี วันตรัสรู้) (ข้อ ๓ ในวิชชา
๓, ข้อ ๖ ในอภิญญา ๖, ข้อ ๘ ในวิชชา ๘,
ข้อ ๑๐ ในทศพลญาณ)